The Most/Recent Articles

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยีความปลอดภัย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยีความปลอดภัย แสดงบทความทั้งหมด

Ransomware-as-a-Service คืออะไร

Ransomware-as-a-Service

ในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจและองค์กรต่างพึ่งพาเทคโนโลยีในการดำเนินงาน ระบบเครือข่าย และข้อมูล จึงกลายเป็นทรัพย์สินสำคัญที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างสูงสุด 

ทำไมต้อง Backup ข้อมูลไว้กับ OneDrive?

OneDrive Backup

การสำรองข้อมูล (Backup) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท นักศึกษา หรือผู้ใช้ทั่วไป ข้อมูลสำคัญอย่างเอกสาร รูปภาพ หรือไฟล์งานต่างๆ หากสูญหายไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้สูงอายุ

Human Support Robot

"เพราะโลกนี้ กำลังกลายเป็นโลกของผู้สูงอายุ" การสรรหาตัวช่วยจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างเช่น  เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้สูงอายุ (Aging Technology) ที่มีการนำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์ของปัญหานี้ 

เจาะลึก 6 วิธี Sign-in เข้า Windows

Windows Sign-in Options

Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และมาพร้อมกับวิธีการลงชื่อเข้าใช้งาน (Sign-in) หลายรูปแบบเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไป องค์กร หรือผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยสูง 

วิธีจัดการ Account บน Widnows

Windows Sign-in

บัญชีผู้ใช้ (Account) เป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดการสิทธิ์การเข้าถึง และความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows จากค่าย Microsoft

Zero Trust Security เรื่องที่ควรรู้

MFA Zero Trust Security

Zero Trust Security เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เน้นหลักการว่า “ห้ามเชื่อถือโดยอัตโนมัติ” ไม่ว่าจะเป็นบุคคล อุปกรณ์ หรือแอปพลิเคชัน ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร

คำศัพท์ 100 คำระบบความปลอดภัย

vocabulary

ในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์ การทำความเข้าใจคำศัพท์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบรักษาความปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความเข้าใจและ จะได้หาทางปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวได้ดีมากขึ้น 

DMARC คืออะไร?

Email Address

DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting, and Conformance) เป็นโปรโตคอลที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมล (Email Spoofing) และฟิชชิ่ง (Phishing) 

วิธีใช้ Passkey กับ Windows

Passkey

ในยุคดิจิทัลที่ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ การใช้รหัสผ่านแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้น Passkey จึงเป็นอีกทางเลือก ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากกว่า 

Passkey รหัสผ่านแบบใหม่

Passkey

ในยุคดิจิทัลที่การใช้งานออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ความปลอดภัยของรหัสผ่าน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ 

SSL คืออะไร?

SSL website
วิธีเพิ่มความปลอดภัยและสร้างความน่าเชื่อถือบนเว็บ

การใช้งาน SSL (Secure Sockets Layer) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ในยุคดิจิทัล SSL ช่วยเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างผู้ใช้งานและเซิร์ฟเวอร์ 

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการชำระเงิน เพื่อป้องกันการถูกดักจับหรือขโมยข้อมูล นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน เนื่องจากเว็บไซต์ที่มี SSL จะมีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจบนแถบที่อยู่ (URL) และใช้โปรโตคอล HTTPS ซึ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO และความน่าเชื่อถือของธุรกิจออนไลน์อีกด้วย  


SSL คืออะไร?  

SSL (Secure Sockets Layer) เป็นโปรโตคอลสำหรับการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยจากการโจมตี เช่น การดักฟัง (eavesdropping) หรือการโจมตีแบบ man-in-the-middle (MITM) ปัจจุบัน SSL ได้พัฒนาต่อมาเป็น TLS (Transport Layer Security) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มีความปลอดภัยมากกว่า  


ประเภทของ SSL  

1. Domain Validation (DV)
  • รับรองความถูกต้องของโดเมนเท่านั้น  
  • ใช้เวลาออกใบรับรองรวดเร็ว  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป เช่น บล็อก หรือเว็บไซต์ส่วนตัว  

2. Organization Validation (OV) 
  • ตรวจสอบข้อมูลขององค์กร เช่น ชื่อบริษัท และที่อยู่  
  • ให้ความปลอดภัยระดับกลาง  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง  

3. Extended Validation (EV)
  • ตรวจสอบองค์กรอย่างละเอียด เช่น ใบอนุญาตธุรกิจ  
  • แสดงชื่อองค์กรบนแถบที่อยู่ (Browser Address Bar)  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดใหญ่หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ  

4. Wildcard SSL
  • ป้องกันหลายซับโดเมนของโดเมนหลัก (e.g., `*.example.com`)  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างหลายซับโดเมน  

5. Multi-Domain SSL 
  • ป้องกันหลายโดเมนในใบรับรองเดียว (e.g., `example.com`, `example.net`)  
  • เหมาะสำหรับองค์กรที่มีหลายเว็บไซต์  

วิธีการเลือกซื้อ SSL ให้เหมาะสม  

1. ประเมินลักษณะการใช้งานเว็บไซต์  
  • หากเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือบล็อก → ใช้ DV SSL  
  • หากเป็นเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง → ใช้ OV SSL  
  • หากเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือองค์กรขนาดใหญ่ → ใช้ EV SSL  

2. เลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ  
  • ตรวจสอบรีวิวและการรับรองจาก CA (Certificate Authority) เช่น DigiCert, GlobalSign, Let's Encrypt  

3. ความสะดวกในการติดตั้ง  
  • เลือกผู้ให้บริการที่มีคู่มือการติดตั้งหรือตัวช่วยที่ง่ายต่อการใช้งาน  

4. ราคาและการสนับสนุน  
  • เปรียบเทียบราคากับฟีเจอร์ เช่น การป้องกันหลายโดเมนหรือซับโดเมน  
  • เลือกผู้ให้บริการที่มีทีมสนับสนุน 24/7  


ตัวอย่างการเลือกใช้ SSL  
  • เว็บไซต์บล็อกส่วนตัว: เลือกใช้ Let's Encrypt (ฟรี SSL)  
  • เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์: เลือกใช้ OV SSL หรือ EV SSL จาก DigiCert  
  • เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่: เลือก Multi-Domain SSL เพื่อครอบคลุมหลายโดเมน  

การใช้งาน SSL ไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ แต่ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์และสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ใช้งาน ทำให้การเลือกใช้ SSL ที่เหมาะสมถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ.

สมาร์ทโฟน: ผู้ช่วยในยามฉุกเฉิน

Find my devices

การตามหาคนหรือคนหายเป็นสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนในปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การค้นหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

โดยเฉพาะฟีเจอร์การแชร์ตำแหน่งที่ตั้งผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงการติดตามอุปกรณ์ผ่านบริการเฉพาะของผู้ผลิต เช่น Find My Device หรือ Find My Mobile ผู้ใช้งานสามารถระบุตำแหน่งของบุคคลในครอบครัวหรือเพื่อนที่ต้องการติดตามได้แบบเรียลไทม์ 

เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดเวลาและความยุ่งยากในการค้นหา แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น คนหายหรือการพลัดหลง อีกทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาที่สำเร็จ หากคุณกำลังมองหาโซลูชันที่เชื่อถือได้ สมาร์ทโฟนและแอปที่เหมาะสมจะเป็นคำตอบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในยุคนี้ 

หากคุณต้องการทราบตำแหน่งของพ่อผ่านสมาร์ทโฟน Android วิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดคือการใช้แอปหรือฟีเจอร์ที่รองรับการแชร์ตำแหน่งที่ตั้ง โดยมีวิธีดังนี้


เทคโนโลยีช่วยตามหาคน

1. ใช้ Google Maps (ฟีเจอร์ Location Sharing)  

Google Maps มีฟีเจอร์ที่ช่วยแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ระหว่างอุปกรณ์ Android และ iOS

วิธีการ

  • ให้พ่อของคุณเปิด Google Maps บนอุปกรณ์ของเขา
  • แตะ โปรไฟล์ (มุมขวาบน) แล้วเลือก Location sharing (แชร์ตำแหน่ง)
  • แตะ Share location (แชร์ตำแหน่งที่ตั้ง) แล้วเลือกระยะเวลาที่ต้องการแชร์ (เช่น 1 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะปิด)
  • เลือกชื่อบัญชี Google ของคุณ (หรือส่งลิงก์ให้ผ่านแอปแชท เช่น LINE หรือ WhatsApp)
  • คุณสามารถดูตำแหน่งของพ่อได้ผ่าน Google Maps ในบัญชีของคุณ


2. ใช้แอป Find My Device (ของ Google)  

แอปนี้ช่วยติดตามอุปกรณ์ Android ที่ล็อกอินด้วยบัญชี Google เดียวกัน

วิธีการ

  • ให้พ่อของคุณดาวน์โหลดแอป Find My Device จาก Google Play Store และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของเขา
  • หากอุปกรณ์ของคุณใช้บัญชี Google เดียวกัน คุณสามารถเปิดแอป Find My Device หรือเข้าเว็บไซต์ [Find My Device](https://www.google.com/android/find) เพื่อติดตามตำแหน่งอุปกรณ์ได้


3. ใช้แอปเฉพาะสำหรับครอบครัว (เช่น Life360)  

แอปอย่าง Life360 ช่วยให้สมาชิกครอบครัวติดตามตำแหน่งกันได้สะดวก

วิธีการ

  • ดาวน์โหลดและติดตั้งแอป Life360 บนอุปกรณ์ของทั้งสองฝ่าย
  • สร้างบัญชีผู้ใช้และเพิ่มสมาชิกใน "Circle" (กลุ่มครอบครัว)
  • เปิดการแชร์ตำแหน่งบนอุปกรณ์ทั้งสองฝ่าย


4. ใช้ฟีเจอร์ในสมาร์ทโฟน (ของผู้ผลิต)  

สมาร์ทโฟนบางรุ่น เช่น Samsung มีฟีเจอร์ Family Sharing หรือ Find My Mobile ซึ่งสามารถตั้งค่าติดตามตำแหน่งในครอบครัวได้

วิธีการ

  • เปิดฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น Find My Mobile (สำหรับ Samsung)
  • เชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้กับอุปกรณ์ของพ่อ
  • ดูตำแหน่งได้ผ่านแอปหรือเว็บไซต์ที่ผู้ผลิตกำหนด


คำแนะนำสำคัญ:

  • ขออนุญาตพ่อของคุณก่อนติดตามตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง
  • ตรวจสอบว่าฟีเจอร์แชร์ตำแหน่งเปิดอยู่ และมีการเปิดใช้งาน GPS ตลอดเวลา
  • หากมีข้อสงสัยหรือปัญหาเรื่องความปลอดภัย โปรดระวังการใช้งานแอปที่ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ


บทสรุป การนำเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนมาใช้ติดตามตำแหน่งช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ ระบบติดตามเฉพาะของผู้ผลิต เช่น Find My Device ยังช่วยให้การค้นหาอุปกรณ์และคนที่ใช้เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมช่วยแก้ปัญหาและเสริมความมั่นใจในสถานการณ์สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์: สิ่งที่ควรรู้และระวัง

Copyright

การละเมิดลิขสิทธิ์เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่การเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ เป็นไปอย่างง่ายดาย 

ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย เพลง หนังสือ วิดีโอ หรือซอฟต์แวร์ ลิขสิทธิ์ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย การนำผลงานของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจนำไปสู่การถูกปรับเงินมหาศาล หรือแม้กระทั่งโทษจำคุก 

ผู้ใช้งานออนไลน์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการดาวน์โหลดหรือแบ่งปันไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้เป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็อาจถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ผิดกฎหมายได้ การรู้เท่าทันกฎหมายลิขสิทธิ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายและเคารพสิทธิของเจ้าของผลงาน


รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์  

การละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์มักเกิดจากความเข้าใจผิดหรือการละเลยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การรู้เท่าทันในแต่ละกรณีจึงช่วยลดความเสี่ยงได้ เรามาเจาะลึกในแต่ละประเด็นและยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน  

1. การคัดลอกหรือดาวน์โหลดเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต  

รายละเอียด

การนำเนื้อหาจากอินเทอร์เน็ต เช่น รูปภาพ บทความ เพลง หรือวิดีโอ มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ถือเป็นการละเมิด แม้ว่าจะไม่มีเจตนาเชิงพาณิชย์ก็ตาม  

ตัวอย่าง

  • การดาวน์โหลดภาพจาก Google มาใช้ในเว็บไซต์ส่วนตัวโดยไม่ได้ขออนุญาต  
  • การดาวน์โหลดเพลงหรือภาพยนตร์จากเว็บไซต์เถื่อน  

ผลกระทบ

เจ้าของลิขสิทธิ์อาจดำเนินคดีทางกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกปรับเงินและเสื่อมเสียชื่อเสียง  


2. การแชร์เนื้อหาในโซเชียลมีเดีย  

รายละเอียด

การแชร์วิดีโอ เพลง หรือบทความบนแพลตฟอร์มเช่น Facebook, YouTube หรือ TikTok โดยที่ไม่มีสิทธิ์หรือไม่ได้รับอนุญาตอย่างชัดเจน อาจถือว่าเป็นการเผยแพร่ที่ผิดกฎหมาย  

ตัวอย่าง  

  • แชร์คลิปวิดีโอเพลงที่ไม่มีลิขสิทธิ์ลงบน YouTube พร้อมโฆษณาเพื่อหารายได้  
  • นำคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่นมาโพสต์ในเพจของตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาต  

ผลกระทบ:  

บัญชีผู้ใช้งานอาจถูกระงับการใช้งาน และผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้  


3. การใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์  

รายละเอียด  

ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้ซื้อหรือดาวน์โหลดจากแหล่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย (เช่น ซอฟต์แวร์เถื่อน) อาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์  

ตัวอย่าง

  • ดาวน์โหลด Microsoft Office เถื่อนจากเว็บไซต์ที่ไม่ใช่ของบริษัท  
  • ใช้โปรแกรม Photoshop เวอร์ชันเถื่อนโดยไม่มีลิขสิทธิ์  

ผลกระทบ

  • บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สามารถดำเนินคดีทางกฎหมาย  
  • อุปกรณ์ของคุณอาจเสี่ยงต่อมัลแวร์และไวรัส  


4. การขายหรือดัดแปลงผลงานผู้อื่น  

รายละเอียด:  

การนำผลงาน เช่น หนังสือ ซอฟต์แวร์ หรือภาพวาดของผู้อื่นมาดัดแปลงหรือขายต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์  

ตัวอย่าง

  • พิมพ์หนังสือที่มีลิขสิทธิ์ซ้ำเพื่อนำไปจำหน่าย  
  • นำภาพถ่ายของผู้อื่นมาแก้ไขและอ้างว่าเป็นผลงานของตน  

ผลกระทบ 

  • เสียค่าปรับจำนวนมาก  
  • อาจถูกฟ้องร้องจนต้องชดใช้ค่าเสียหาย  


5. การไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาและการละเลยเงื่อนไขลิขสิทธิ์  

รายละเอียด

การใช้เนื้อหาโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดของลิขสิทธิ์ เช่น Creative Commons อาจทำให้คุณละเมิดข้อกำหนดโดยไม่ได้ตั้งใจ  

ตัวอย่าง

  • ใช้ภาพ Creative Commons ที่กำหนดว่าต้องใส่เครดิตเจ้าของ แต่ไม่ได้ใส่เครดิต  
  • ใช้เพลงที่อนุญาตเฉพาะเพื่อการศึกษา แต่ใช้ในเชิงพาณิชย์  

ผลกระทบ

การไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้อาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดี  


บทลงโทษทางกฎหมาย  

1. โทษปรับ 

  • การละเมิดลิขสิทธิ์อาจมีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความร้ายแรง)  

2. โทษจำคุก

  • การละเมิดที่สร้างความเสียหายสูง เช่น การจำหน่ายซอฟต์แวร์เถื่อน อาจถูกจำคุกสูงสุด 2–4 ปี  

3. การฟ้องร้อง 

  • เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมผ่านศาล  


ข้อแนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์  

  • เลือกใช้แหล่งเนื้อหาถูกกฎหมาย เช่น เว็บไซต์ที่ให้บริการฟรีแต่มีลิขสิทธิ์ (เช่น Unsplash หรือ Pexels)  
  • อ่านเงื่อนไขการใช้งาน (Terms of Use) ก่อนใช้เนื้อหาหรือซอฟต์แวร์  
  • ซื้อซอฟต์แวร์แท้ จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ  
  • หลีกเลี่ยงการแชร์เนื้อหาที่ไม่มีลิขสิทธิ์ในโซเชียลมีเดีย  
  • ส่เครดิตให้ถูกต้อง หากเนื้อหากำหนดให้ต้องใส่เครดิต  


บทสรุป การเคารพลิขสิทธิ์ไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังเป็นการสนับสนุนผู้สร้างสรรค์ผลงานให้นำเสนองานดี ๆ ต่อไปในอนาคต

6 วิธีท่องเว็บอย่างปลอดภัย

Surf the web safely

การท่องเว็บเป็นกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเพื่อค้นหาข้อมูล ติดต่อสื่อสาร หรือซื้อสินค้าออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การใช้อินเทอร์เน็ตโดยไม่มีความระมัดระวังอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่าง ๆ 

ตัวอย่างเช่น การถูกโจรกรรมข้อมูล การติดมัลแวร์ หรือการถูกหลอกลวงออนไลน์ ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการท่องเว็บอย่างปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัว รักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

การมีความรู้พื้นฐาน เช่น วิธีสังเกตเว็บไซต์ที่ปลอดภัย การตั้งค่ารหัสผ่านที่รัดกุม และการหลีกเลี่ยงลิงก์ที่น่าสงสัย จะช่วยให้คุณใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น


6 วิธีช่วยให้ท่องเว็บอย่างปลอดภัย

1. ตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์  

  • URL ที่ปลอดภัย
    เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือควรมี URL ที่ขึ้นต้นด้วย "https://" ซึ่งแสดงว่าข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ได้รับการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการแฮกเกอร์ดักจับข้อมูล  

  • ไอคอนแม่กุญแจ
    หากมีไอคอนรูปแม่กุญแจที่มุมซ้ายของแถบ URL ให้คลิกเพื่อดูข้อมูลใบรับรองความปลอดภัย (SSL Certificate) และตรวจสอบว่าชื่อผู้ถือใบรับรองตรงกับชื่อเว็บไซต์หรือไม่  

  • ชื่อโดเมน
    ระมัดระวังเว็บไซต์ที่มีชื่อโดเมนคล้ายคลึงกับเว็บไซต์ที่คุณรู้จัก เช่น “gooogle.com” หรือ “faceb0ok.com” ซึ่งอาจเป็นการหลอกลวง  


2. ใช้รหัสผ่านที่รัดกุม  

  • คุณสมบัติของรหัสผ่านที่ดี
    ใช้ความยาวอย่างน้อย 12-16 ตัว  และใช้ตัวอักษรหลากหลาย เช่น "Passw0rd@2025!"  

  • รหัสผ่านแบบไม่ควรใช้
    หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านที่ง่ายต่อการคาดเดา เช่น “123456,” “password,” หรือวันเกิดของคุณ  

  • การจัดการรหัสผ่าน
    ใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) เช่น LastPass, Dashlane หรือ 1Password เพื่อช่วยเก็บรหัสผ่านและสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัย  


3. หลีกเลี่ยงลิงก์หรือไฟล์ที่ไม่รู้จัก  

  • อีเมลฟิชชิ่ง
    ตรวจสอบอีเมลที่ส่งมาเพื่อหลอกลวง เช่น มีข้อความเร่งด่วนหรือข้อเสนอที่ดูดีเกินจริง หากไม่แน่ใจ ให้เลื่อนเมาส์เหนือ URL เพื่อดูลิงก์เป้าหมายก่อนคลิก  รายละอียด Email Phishing

  • ไฟล์แนบ
    หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบในอีเมลที่ไม่ได้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบนามสกุลของไฟล์ เช่น .exe, .bat หรือ .vbs ซึ่งอาจเป็นไฟล์มัลแวร์  


4. อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำ  

  • เหตุผลที่ต้องอัปเดต:
    การอัปเดตซอฟต์แวร์ช่วยแก้ไขจุดอ่อนหรือช่องโหว่ที่แฮกเกอร์อาจใช้โจมตี  

  • การตั้งค่าอัปเดตอัตโนมัติ
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้เปิดการอัปเดตอัตโนมัติสำหรับระบบปฏิบัติการ เบราว์เซอร์ และโปรแกรมแอนติไวรัส  

  • สำรองข้อมูล
    ก่อนอัปเดต ควรสำรองข้อมูลสำคัญในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการอัปเดต  


5. ใช้เครือข่าย Wi-Fi อย่างระมัดระวัง  

  • ความเสี่ยงของ Wi-Fi สาธารณะ:
    เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะมักไม่มีการเข้ารหัส ทำให้อาชญากรไซเบอร์สามารถดักจับข้อมูลที่คุณส่งผ่านเครือข่ายได้  

  • ใช้บริการ VPN:
    ใช้บริการ Virtual Private Network (VPN) เช่น NordVPN, ExpressVPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและปกป้องความเป็นส่วนตัว รายละเอียด VPN  

  • ฮอตสปอตส่วนตัว:
    หากจำเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตในที่สาธารณะ ให้พิจารณาใช้งานฮอตสปอตจากสมาร์ทโฟนของคุณแทน  


6. หลีกเลี่ยงการแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวโดยไม่จำเป็น  

  • การกรอกข้อมูลออนไลน์:
    ตรวจสอบว่าข้อมูลที่คุณให้มีความจำเป็นหรือไม่ เช่น เว็บไซต์ที่ต้องการหมายเลขบัตรประชาชนอาจไม่ปลอดภัย  

  • โซเชียลมีเดีย:
    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในบัญชีโซเชียลมีเดียเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง  
  • การใช้หมายเลขบัตรเครดิต:
    หากต้องทำธุรกรรมออนไลน์ ให้ใช้บริการชำระเงินผ่านระบบที่ปลอดภัย เช่น PayPal หรือบัตรเครดิตเสมือน  


บทสรุป เพื่อความปลอดภัยในการท่องโลกออไนลน์ การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยในการท่องเว็บ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามในโลกไซเบอร์อย่างดี

วิธีป้องกัน Ransomware พร้อมวิธีทำ

Prevent Ransomware
มาทำความรู้จักภัยจากไวรัสเรียกค่าไถ่และแนวทางป้องกัน

Ransomware คือมัลแวร์ที่โจมตีระบบคอมพิวเตอร์โดยการเข้ารหัสไฟล์สำคัญและเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกข้อมูล ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงไฟล์หรือระบบของตนเองได้ เว้นแต่จะยอมจ่ายเงินตามที่แฮกเกอร์กำหนด 

ภัยคุกคามนี้มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยเป้าหมายหลักรวมถึงองค์กรธุรกิจ โรงพยาบาล และผู้ใช้ทั่วไป ปัญหาที่เกิดจาก Ransomware อาจมีผลกระทบกว้างขวาง เช่น การสูญเสียข้อมูลสำคัญ การหยุดชะงักของการดำเนินงานทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายสูงจากการกู้ข้อมูลหรือจ่ายค่าไถ่ 

นอกจากนี้ อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เกิดความเสียหายทางกฎหมายและชื่อเสียง การป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการสำรองข้อมูล การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย และการตระหนักถึงความเสี่ยงทางไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน


8 แนวทางป้องกัน Ransomware อย่างละเอียด

1. ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์
  • เลือกซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีฟีเจอร์ป้องกันแรนซัมแวร์ เช่น Bitdefender, Kaspersky หรือ Windows Defender (ฟรีใน Windows)
  • ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ทางการ
  • ติดตั้งและเปิดใช้งานการสแกนเรียลไทม์ (Real-Time Protection)
  • และที่สำคัญ ตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ เพื่อป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ

2. อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์
  • ใน Windows: ไปที่ Settings > Windows Update แล้วกด Check for Updates
  • 2. ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Software Update
  • 3. ในโปรแกรมอื่น ๆ เช่น Microsoft Office หรือ Browser: เลือก Help > Check for Updates
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม ให้เปิดใช้งาน Automatic Updates เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการป้องกันล่าสุดเสมอ

3. สำรองข้อมูลสำคัญ (Backup)
  • ใช้ External Drive หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, OneDrive, Dropbox
  • เลือกไฟล์สำคัญ เช่น รูปภาพ เอกสาร และไฟล์งาน
  • กำหนดเวลาสำรองข้อมูล เช่น ทุกสัปดาห์
  • ข้อแนะนำเพิ่มเติม ควรแยกการเก็บข้อมูลสำรองออกจากเครือข่ายหลัก (เช่น ถอด External Drive หลังสำรองข้อมูลเสร็จ)

4. ใช้หลักการให้สิทธิ์ขั้นต่ำ (Least Privilege)
  • สำหรับองค์กร: สร้างบัญชีผู้ใช้ตามบทบาท (Admin และ User)
  • สำหรับบุคคล: ไม่ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ (Administrator) ในการใช้งานทั่วไป
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม เปิดใช้งานรหัสผ่านหรือ PIN ในบัญชี เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

5. ฝึกอบรมพนักงานหรือเรียนรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • จัดอบรมเกี่ยวกับการระวังอีเมลปลอม เช่น อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Udemy, YouTube หรือ Google
  • จำคีย์สำคัญ เช่น “ดู URL ให้แน่ใจว่าเป็น HTTPS” และ “อย่าเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย”

6. เปิดใช้งานไฟร์วอลล์
  • ใน Windows: ไปที่ Control Panel > System and Security > Windows Defender Firewall และเลือก Turn on Firewall
  • ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Security & Privacy > Firewall
  • เคล็ดลับ: ตั้งค่ากฎเพื่อจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายจากแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น

7. แบ่งส่วนเครือข่าย (Network Segmentation)
  • ใช้เราเตอร์ที่รองรับการสร้างเครือข่ายย่อย (VLAN)
  • แยกการใช้งาน เช่น เครือข่ายสำหรับงาน และเครือข่ายสำหรับความบันเทิง
  • เคล็ดลับ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายหากไม่แน่ใจในการตั้งค่า

8. ใช้โซลูชันป้องกันสแปม (Spam Filtering)
  • ใช้บริการอีเมลที่มีระบบป้องกันสแปม เช่น Gmail หรือ Microsoft Outlook
  • ติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น SpamAssassin
  • ตั้งค่าการกรองอีเมลที่น่าสงสัยเข้าโฟลเดอร์สแปมโดยอัตโนมัติ
  • เคล็ดลับ: แจ้งผู้ใช้งานให้หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ในอีเมลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

บทสรุป การลดปัญหาจาก Ransomware เพียงแค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการโจมตีของ Ransomware ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับองค์กรที่ระบบเครือข่ายภายในและภายนอก

รายละเอียดเพิ่มเติม อาการติด Ransomware

#AntiVirus #Malware #Safety #Security 

Firewall สำหรับองค์กรธุรกิจ

LAN Office

Firewall บนระบบปฏิบัติการอาจไม่เพียงพอ เพราะถ้าคุณมีระบบเครือข่าย หรือ Network ภายในองค์กร เพราะการบริหารจัดการทำได้ยาก และไม่สามารถป้องกันภัยจากเครือข่ายภายนอกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

วิธีสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัยและจดจำง่าย

Passcodeรหัสผ่าน เรื่องสำคัญ อย่ามองข้าม !  

ในยุคดิจิทัลที่การใช้งานบัญชีออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การป้องกันข้อมูลส่วนตัวจากภัยคุกคามทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รหัสผ่านเป็นด่านแรกในการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลของคุณ 

หากรหัสผ่านอ่อนแอหรือถูกคาดเดาได้ง่าย อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินทางการเงินของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง การสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัยและจดจำง่ายจึงเป็นทักษะที่จำเป็น แต่หลายคนมักมองว่ารหัสผ่านที่ปลอดภัยมักยากต่อการจำ 

อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง คุณสามารถสร้างรหัสผ่านที่ทั้งปลอดภัยและจดจำได้ง่าย ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีสร้างรหัสผ่านที่ลดความเสี่ยงต่อการถูกแฮก พร้อมทั้งเคล็ดลับในการจำรหัสผ่านอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเสริมความปลอดภัยของบัญชีออนไลน์ในโลกที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์

การสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัยและจดจำง่ายต้องใช้เทคนิคที่ช่วยป้องกันการคาดเดา แต่ยังคงความสะดวกต่อผู้ใช้งาน นี่คือคำแนะนำ

5 วิธีสร้างรหัสผ่าน ให้จดจำได้ไม่ยาก

1. ใช้สูตรสร้างรหัสผ่าน  

  • การใช้คำหรือวลีที่คุณจดจำได้ง่าย แล้วเพิ่มตัวอักษรพิเศษ ตัวเลข และตัวพิมพ์ใหญ่เข้าไป เช่น:  
  • วลี: "ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยว"  
  • แปลงเป็น: "Chx1ชxบกN_2024" (C = ฉัน, h = ชอบ, x = กิน, ฯลฯ)  

2. สร้างจากคำที่ไม่เกี่ยวข้องกัน  

  • เลือกคำ 3-4 คำที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วผสมกับตัวเลขและสัญลักษณ์ เช่น:  
  • "แมว@ต้นไม้27-ฟ้า"  
  • "M@T27-Fa" (ตัดคำเหลือบางตัวเพื่อให้สั้นและจำง่าย)  

3. ใช้อักษรย่อจากประโยค  

  • นำคำเริ่มต้นของประโยคที่ชอบมาใช้ เช่น:  
  • "ไปตลาดทุกเช้าซื้อแอปเปิ้ล 5 ลูก"  
  • แปลงเป็น: "Pttc$a5L"  

4. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เดาง่าย  

  • ห้ามใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิด ชื่อสัตว์เลี้ยง  
  • ห้ามใช้คำง่ายๆ เช่น "password123" หรือ "abcd1234"  

5. ใช้เครื่องมือช่วยสร้างรหัสผ่าน  

  • หากคุณไม่มั่นใจ ลองใช้เครื่องมือช่วย เช่น Password Manager ที่สามารถสุ่มรหัสผ่านและจัดเก็บให้ปลอดภัย  


เคล็ดลับการจำรหัสผ่าน  

  • จดเป็นคำใบ้ เช่น "ชื่อแมว + ปีเกิด + สัญลักษณ์โปรด"  
  • ฝึกพิมพ์ซ้ำ บ่อยๆ เพื่อช่วยจดจำ  
  • แยกการใช้งาน เช่น อีเมล รหัสผ่านหนึ่ง โซเชียลมีเดียอีกหนึ่ง  


บทสรุป รหัสผ่าน หรือ Password หรือบางคนอาจเรียก Passcode ที่ปลอดภัยและยากแก่การคาดเดา ถือได้ว่า เป็นเกราะป้องกันข้อมูลส่วนตัว และทรัพย์สินในโลกออนไลน์ การใช้เทคนิคสร้างรหัสผ่านที่ทั้งปลอดภัยและจดจำง่ายคือกุญแจสำคัญ

SPF คืออะไร ทำไมคนทำเว็บ คนใช้เมลต้องรู้

Mail Server Security
SPF คืออะไร และเกี่ยวข้องกับโดเมนเนมอย่างไร?

SPF (Sender Policy Framework) เป็นชุดของข้อกำหนดที่ใช้ระบุว่าเซิฟเวอร์ใดได้รับ อนุญาตให้ส่งอีเมลในนามของโดเมน ของคุณ เปรียบเสมือนบัตรประจำตัวสำหรับอีเมลที่ส่งออกจากโดเมนนั้น ๆ โดยจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ TXT record ภายใน DNS (Domain Name System) ของโดเมนนั้น


SPF กับความเชื่อมโยงกับโดเมนเนม

  • การระบุตัวตน: SPF ช่วยให้ผู้รับอีเมลตรวจสอบยืนยันได้ว่าอีเมลที่ได้รับมาจากโดเมนของคุณนั้นเป็นของจริงหรือไม่
  • ป้องกันการปลอมแปลง: เมื่อมีการปลอมแปลงอีเมลโดยใช้ชื่อโดเมนของคุณ SPF จะช่วยตรวจจับและป้องกันไม่ให้อีเมลปลอมเหล่านั้นเข้าถึงกล่องจดหมายของผู้รับ
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เมื่ออีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล ทำให้ผู้รับอีเมลมีความมั่นใจว่าอีเมลนั้นปลอดภัย

ความสำคัญของ SPF เกี่ยวกับ Security

SPF มีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอีเมลและโดเมนของคุณ ดังนี้:

  • ป้องกันการโจมตี: SPF ช่วยป้องกันการโจมตีประเภทต่างๆ เช่น ฟิชชิง (Phishing) สแปม (Spam) และการโจมตีแบบปลอมแปลงอีเมล (Email Spoofing)
  • ปกป้องแบรนด์: การป้องกันการปลอมแปลงอีเมลจะช่วยปกป้องชื่อเสียงและแบรนด์ของคุณ
  • ป้องกันการสูญเสียข้อมูล: การโจมตีทางอีเมลอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ ดังนั้น SPF จึงช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูล
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล: เมื่อผู้รับอีเมลเห็นว่าอีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะมีความเชื่อมั่นในอีเมลของคุณมากขึ้น

ตัวอย่างการตั้งค่า SPF (Sender Policy Framework)

SPF เป็นระบบที่ใช้ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดได้รับอนุญาตให้ส่งอีเมลในนามโดเมนของคุณ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

รูปแบบทั่วไปของ SPF record

v=spf1 include:spf.provider.com ~all
  • v=spf1: ระบุว่านี่คือระเบียน SPF
  • include:spf.provider.com: อ้างอิงไปยังระเบียน SPF ของผู้ให้บริการอีเมลของคุณ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365)
  • ~all: ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าของ all
  • ค่า ~all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ แต่ยังสามารถส่งอีเมลได้ แต่จะถูกทำเครื่องหมายว่าเป็น "soft fail"
  • ค่า -all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และอีเมลจะถูกปฏิเสธ
  • ค่า ?all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกส่งไปยังสถานะ "neutral" ซึ่งหมายความว่าผู้รับอีเมลจะตัดสินใจเอง

บทสรุป SPF เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอีเมลและโดเมนของคุณ การตั้งค่า SPF ที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมล เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล และปกป้องแบรนด์ของคุณ

หากคุณต้องการตั้งค่า SPF สำหรับโดเมนของคุณ ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้ให้บริการโดเมนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอีเมล เพื่อให้ได้การตั้งค่าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับระบบของคุณ


คำแนะนำเพิ่มเติม

นอกจาก SPF แล้ว ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของอีเมล เช่น 
  • DKIM (DomainKeys Identified Mail)
  • DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting & Conformance) 

ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกัน จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการป้องกันการปลอมแปลงอีเมลได้อย่างดี เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอีเมล

ปรับแต่ง Windows Defender ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Antivirus
ฟรีแอนตี้ไวรัสที่มาพร้อมกับ Windows   

การป้องกันไวรัสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เราพึ่งพาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในการทำงาน การเรียนรู้ และการติดต่อสื่อสาร ไวรัสและมัลแวร์สามารถเข้าสู่ระบบของเราได้ผ่านทางไฟล์ที่ดาวน์โหลด ลิงก์ที่น่าสงสัย หรือแม้แต่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 

อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญสูญหาย ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย หรือระบบได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โปรแกรมป้องกันไวรัส เช่น Windows Defender ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์เหล่านี้ โดยการตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง 

Windows Security

การตั้งค่าให้ระบบมีการอัปเดตอยู่เสมอและการระมัดระวังในกิจกรรมออนไลน์ช่วยลดความเสี่ยงในการโดนโจมตี การป้องกันไวรัสจึงมีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ให้การใช้งานเทคโนโลยีเป็นไปอย่างปลอดภัยและมั่นใจ

6 วิธีการใช้ Windows Defender อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เปิดใช้งาน Windows Defender Real-time Protection
  • เข้าไปที่ Settings > Update & Security > Windows Security แล้วเลือก Virus & Threat Protection
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟีเจอร์ Real-time protection ถูกเปิดใช้งาน เพื่อให้ Windows Defender ตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง

2. การตั้งค่าและอัปเดต Windows Defender เป็นประจำ
  • Windows Defender จะมีการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณเปิดใช้งาน Windows Update เพื่อรับการอัปเดตล่าสุดเสมอ
  • การอัปเดตเป็นประจำช่วยให้ Windows Defender สามารถป้องกันไวรัสและมัลแวร์ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ใช้งานการสแกนระบบ
  • สามารถเลือกสแกนประเภทต่าง ๆ ได้แก่ Quick Scan (สแกนเร็ว), Full Scan (สแกนทั้งหมด), และ Custom Scan (สแกนเฉพาะโฟลเดอร์หรือไฟล์)
  • ควรทำ Full Scan อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย และใช้ Custom Scan เมื่อสงสัยว่ามีไฟล์น่าสงสัยในโฟลเดอร์เฉพาะ

4. เปิดใช้งาน Controlled Folder Access
  • Controlled Folder Access เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันไฟล์ในโฟลเดอร์สำคัญจากแรนซัมแวร์และมัลแวร์
  • ไปที่ Virus & Threat Protection > Ransomware Protection > Manage Controlled Folder Access และเปิดใช้งาน

5. ระมัดระวังการดาวน์โหลดไฟล์และการคลิกลิงก์
  • ไม่ควรดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่คุ้นเคยในอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
  • การระมัดระวังนี้ช่วยลดโอกาสการติดไวรัสหรือมัลแวร์จากการดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว

6. ใช้การตั้งค่าการป้องกันอื่น ๆ เพิ่มเติม
  • Windows Defender ยังมี Firewall ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยไปที่ Windows Security > Firewall & network protection
  • ตรวจสอบการตั้งค่าของ Firewall ให้มั่นใจว่าเปิดใช้งานสำหรับเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ทุกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก

บทสรุป การใช้งาน Windows Defender ร่วมกับการระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นวิธีป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบและข้อมูลของคุณ

ยุคนี้ Antivirus เอาไม่อยู่แล้ว

No Threats Found

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การปกป้องระบบและข้อมูลจากภัยคุกคามไซเบอร์เป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้โปรแกรม Antivirus เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์เบื้องต้น แต่ยังไม่เพียงพอ

องค์กรในปัจจุบัน มีการที่เผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การโจมตีแบบ Zero-day หรือการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ด้วยเหตุนี้ ระบบ Endpoint Security จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคาม โดยครอบคลุมอุปกรณ์ทุกเครื่องในเครือข่าย พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR), การป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP), การควบคุมการเข้าถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ระบบ Endpoint Security ยังสามารถบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้งานในเครือข่ายได้แบบรวมศูนย์ ช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น


Antivirus vs Endpoint Security  

1. Antivirus  

โปรแกรม Antivirus ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัส มัลแวร์ สปายแวร์ และโทรจัน โดยตรวจจับไฟล์ที่น่าสงสัยหรือพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย ส่วนใหญ่จะเน้นปกป้องระบบในลักษณะพื้นฐาน เช่น การสแกนไวรัส การป้องกันแบบเรียลไทม์ (Real-time Protection) และการกักกันไฟล์ที่ไม่ปลอดภัย แม้ว่า Antivirus ในปัจจุบันจะพัฒนาขึ้นและสามารถป้องกันมัลแวร์ที่ซับซ้อนได้ แต่ยังมีขีดจำกัดในการจัดการกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน

2. Endpoint Security

Endpoint Security เป็นโซลูชันที่มีขอบเขตกว้างกว่าการป้องกันไวรัสโดยทั่วไป ซึ่งออกแบบมาสำหรับการป้องกันอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoints) เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก มือถือ และเซิร์ฟเวอร์ ในเครือข่ายองค์กร โดย Endpoint Security มีคุณสมบัติที่มากกว่า Antivirus ทั่วไปและครอบคลุมการป้องกันทั้งระบบ
  • Advanced Threat Protection: ป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง เช่น การโจมตีแบบ Zero-day และมัลแวร์ที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับ
  • Data Loss Prevention (DLP): ป้องกันข้อมูลสำคัญไม่ให้รั่วไหลออกจากระบบ
  • Device Control: ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์เสริม เช่น USB
  • Endpoint Detection and Response (EDR): ตรวจสอบและตอบสนองต่อการบุกรุกที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์
  • Application Whitelisting: อนุญาตเฉพาะแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยให้สามารถทำงานได้ในระบบ
  • Patch Management: จัดการอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยของระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่

ความแตกต่างระหว่าง Antivirus และ Endpoint Security

  • ขอบเขตการป้องกัน: Antivirus ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ Endpoint Security ครอบคลุมมากกว่าและออกแบบเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อนในระดับองค์กร

  • การจัดการแบบรวมศูนย์: Endpoint Security มักมีระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ (Centralized Management) ที่ช่วยให้องค์กรจัดการอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การตอบสนองต่อภัยคุกคาม: Endpoint Security มีระบบที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อัตโนมัติ และตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้ใช้ภายในเครือข่ายองค์กร


บทสรุป การใช้ Endpoint Security เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากภัยคุกคามมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรม Antivirus ธรรมดาจะจัดการได้ Endpoint Security ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR) และการป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP) ทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้แบบรวมศูนย์ สร้างเกราะป้องกันที่ครอบคลุมและมั่นคงมากขึ้น