The Most/Recent Articles

แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา software จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา software จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด

Software กับ Application คืออะไร

Software Applications

ในยุคดิจิทัลที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “software” และ “app” เป็นสิ่งสำคัญเพื่อการใช้งานและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ทั้งสองคำนี้จะใช้เรียกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่มีความแตกต่างที่ชัดเจนในแง่ของขอบเขตและการใช้งาน 

ประเภทของซอฟต์แวร์

About Software

ซอฟต์แวร์เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนการทำงานและการพัฒนาในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ซอฟต์แวร์เหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนความต้องการของผู้ใช้และองค์กร 

10 อาชีพ Sales สายเทคโนโลยี รายได้งาม

Sales Tech
อีกหนึ่งอาชีพสำหรับคนสาย Sale  

อาชีพ Sales ในสายงานเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความท้าทายและให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็นการขายซอฟต์แวร์ (Software), โซลูชันระบบคลาวด์ (Cloud Solutions), ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity), หรือเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ความสามารถในการขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในตลาดปัจจุบัน 

นอกจากทักษะการเจรจาต่อรองและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว Sales ที่มีความรู้ทางเทคนิคสามารถทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดี อาชีพนี้ไม่เพียงแค่สร้างรายได้สูงแต่ยังเปิดโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย


10 อาชีพในสายงาน Sales สายเทคโนโลยี 

1. Cloud Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน Cloud เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, และ Google Cloud Platform ให้กับบริษัทที่ต้องการย้ายระบบขึ้น Cloud หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน IT
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ Cloud Computing, ความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า, ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ SaaS, IaaS และ PaaS

2. Cybersecurity Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันการรักษาความปลอดภัย เช่น Antivirus, Firewall, SIEM (Security Information and Event Management) ให้กับองค์กรที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลและระบบ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เรื่อง IT Security, แนวโน้มด้าน Cybersecurity, การประเมินความเสี่ยง, และการเข้าใจมาตรการความปลอดภัย (เช่น ISO 27001, GDPR)

3. Software as a Service (SaaS) Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ที่เป็นบริการ (SaaS) เช่น CRM (Customer Relationship Management), ERP (Enterprise Resource Planning) หรือซอฟต์แวร์บริหารจัดการโครงการ (Project Management Software)
  • ความรู้ที่ควรมี: ทักษะการสื่อสาร, ความเข้าใจใน Business Process ของลูกค้า, ความสามารถในการสาธิตการใช้งานซอฟต์แวร์

4. Artificial Intelligence (AI) & Machine Learning Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน AI และ Machine Learning เช่น Chatbots, Data Analytics Platforms และ Predictive Analytics ให้กับธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI/ML, Data Science, การวิเคราะห์ข้อมูล, และความสามารถในการอธิบายเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย

5. Enterprise Software Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในองค์กร เช่น SAP, Oracle หรือ Microsoft Dynamics ที่ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน, ทรัพยากรมนุษย์, Supply Chain
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจในกระบวนการธุรกิจ, ประสบการณ์การขาย B2B, และทักษะการเจรจาในระดับองค์กร

6. IT Hardware Sales
  • รายละเอียด: ขายอุปกรณ์ IT เช่น Servers, Networking Equipment, Data Storage Solutions และอุปกรณ์ IoT ให้กับองค์กรที่ต้องการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี Hardware, การประเมินโครงสร้างพื้นฐาน IT ของลูกค้า, ทักษะการขายและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

7. FinTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันทางการเงิน เช่น Payment Gateways, Digital Wallets, และแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ให้กับสถาบันการเงินและธุรกิจต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเรื่องการเงินและธนาคาร, เทคโนโลยี FinTech, การปฏิบัติตามกฎหมายด้านการเงิน (เช่น AML, KYC)

8. EdTech Sales
  • รายละเอียด: ขายเทคโนโลยีด้านการศึกษา เช่น e-Learning Platforms, Virtual Classrooms, และระบบบริหารจัดการการเรียนการสอน (LMS) ให้กับสถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรม, การเข้าใจปัญหาและความต้องการของสถานศึกษา, การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน

9. HealthTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันด้านสุขภาพ เช่น Telemedicine Platforms, Wearable Health Devices, และ Electronic Health Records (EHR) Systems ให้กับโรงพยาบาลและคลินิก
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับวงการ Healthcare, การวิเคราะห์ความต้องการของสถานพยาบาล, กฎระเบียบด้านสุขภาพ (เช่น HIPAA)

10. Digital Marketing Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายเครื่องมือการตลาดดิจิทัล เช่น SEO Tools, Social Media Management Platforms, และ Marketing Automation Solutions ให้กับบริษัทที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจด้านการตลาดดิจิทัล, การใช้ SEO, SEM, และการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด, ทักษะการทำ Presentation

ทักษะเพิ่มเติมที่ควรมีสำหรับงาน Sales ในสาย Tech

  • ทักษะการนำเสนอ (Presentation Skills): เพื่อดึงดูดและสร้างความสนใจให้กับลูกค้า
  • ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills): เพื่อปิดการขายและสร้างข้อตกลงที่เป็นประโยชน์
  • ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Savvy): การเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
  • ทักษะการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM Skills): การใช้งานเครื่องมือ CRM เช่น Salesforce เพื่อบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • การเรียนรู้และปรับตัว (Adaptability): การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

บทสรุป การเข้าสู่อาชีพเหล่านี้ต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน แต่เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้สูงและมีความท้าทายที่น่าตื่นเต้นในโลกของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง

ประหยัดเงินด้วย Open Source

Open Source Software

Open Source หรือ โอเพ่นซอร์ส หมายถึงซอฟต์แวร์ที่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด (source code) ของมันได้อย่างอิสระ ซอร์สโค้ดคือโค้ดโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยนักพัฒนา เพื่อให้โปรแกรมทำงานตามที่ต้องการ บางคนอาจเรียกย่อๆ ว่า OSS (Open Source Software)

SaaS คืออะไร

Software As a Service
อีกหนึ่งวิธีในการเลือกระบบซอฟต์แวร์ ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

SaaS (Software as a Service) คือการให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่องคอมพิวเตอร์เอง ผู้ให้บริการ SaaS จะรับผิดชอบในการบำรุงรักษา อัปเดต และการรักษาความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องลงทุนกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์มากมาย และจ่ายค่าบริการตามการใช้งานแบบสมัครสมาชิก (Subscription) ซึ่งมักมีการปรับแผนการใช้งานตามจำนวนผู้ใช้หรือฟีเจอร์ที่ต้องการ

 ข้อดีของ SaaS

  • เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: ผู้ใช้สามารถเข้าถึงซอฟต์แวร์ได้จากอุปกรณ์ใดก็ได้ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต
  • ลดภาระการดูแลระบบ: ไม่จำเป็นต้องจัดการกับการติดตั้งซอฟต์แวร์หรืออัปเดตแพตช์ต่าง ๆ ผู้ให้บริการจะดูแลให้ทั้งหมด
  • ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า: ไม่ต้องลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ล่วงหน้า และสามารถชำระเงินตามการใช้งานจริงได้
  • ขยายขนาดได้ง่าย: SaaS สามารถปรับขนาดการใช้งานตามความต้องการของธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น

ตัวอย่าง SaaS และการนำไปใช้งาน

1. Google Workspace
  • ใช้สำหรับการทำงานร่วมกันในองค์กร เช่น อีเมล (Gmail), การจัดเก็บไฟล์ (Google Drive), การสร้างเอกสาร (Google Docs, Sheets, Slides)
  • ตัวอย่างการใช้งาน: บริษัทขนาดเล็กสามารถใช้ Google Workspace ในการจัดการเอกสารและการติดต่อภายในองค์กรโดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์

2. Microsoft 365
  • ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับการทำงาน เช่น Word, Excel, PowerPoint ผ่านเว็บบราวเซอร์ นอกจากนี้ยังมี OneDrive สำหรับการเก็บไฟล์บนคลาวด์
  • ตัวอย่างการใช้งาน: ธุรกิจสามารถใช้ Microsoft 365 ในการสร้างและจัดการเอกสารผ่านอินเทอร์เน็ต และทำงานร่วมกับทีมงานที่อยู่คนละสถานที่ได้อย่างสะดวก

3. Salesforce
  • เป็นแพลตฟอร์ม SaaS ที่ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามการขายและการติดต่อกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ตัวอย่างการใช้งาน: ธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ Salesforce ในการจัดการฐานข้อมูลลูกค้า รวมถึงติดตามกิจกรรมการขายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันเวลา

4. Zoom
  • ใช้สำหรับการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอหรือเสียงโดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพียงเข้าผ่านเบราว์เซอร์ก็สามารถใช้งานได้ทันที
  • ตัวอย่างการใช้งาน: องค์กรสามารถใช้ Zoom ในการประชุมกับพนักงานหรือลูกค้าที่อยู่ห่างไกล โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

บทสรุป SaaS (Software as a Service) เป็นทางเลือกที่น่าสำหรับธุรกิจเพราะให้ความสะดวกในการเข้าถึงซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องติดตั้งหรือดูแลระบบเอง ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันทีและจ่ายค่าบริการตามการใช้งานจริง นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านไอทีและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8 โปรแกรมฟรี เทียบเคียง Adobe

Artist retouch photo

ในยุคที่การสร้างสรรค์งานกราฟิกและมัลติมีเดียกลายเป็นสิ่งสำคัญในหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การตัดต่อวิดีโอ หรือการจัดการภาพถ่าย โปรแกรมจาก Adobe เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในการให้บริการที่มีคุณภาพสูง แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง การหาโปรแกรมฟรีที่สามารถทดแทนการใช้งานได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ 

Malware คืออะไร

Malware Software
Malware หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อทำลายหรือรบกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย โดยมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีการทำงานและเป้าหมายที่แตกต่างกัน 

อย่ามองข้าม การอัปเดท OS บนมือถือ!

OS Update
เหตุผลดีๆ ที่ควรอัปเดท OS !!  

การอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ในด้านความปลอดภัย โดยการอัปเดตเป็นประจำช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น มัลแวร์ ไวรัส และการโจมตีจากแฮกเกอร์ 

ระบบปฏิบัติการและแอปที่ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดี สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ง่าย การอัปเดตช่วยอุดช่องโหว่เหล่านี้ พร้อมกับปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน การเข้ารหัสข้อมูล และการป้องกันการติดตามผ่านแอป 

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่สูงสุด ควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบนสมาร์ทโฟนอย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งค่าการอัปเดตอัตโนมัติหากเป็นไปได้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณจะปลอดภัยจากภัยคุกคามใหม่ๆ อยู่เสมอ


การอัปเดตระบบปฏิบัติการ และ แอปบนสมาร์ทโฟน เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ และการปรับปรุงการทำงานให้สอดคล้องกับแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ๆ การอัปเดตสามารถทำได้ง่ายดายทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS และ Android โดยเรามีคำแนะนำเบื้องต้นในการอัปเดตทั้งสองระบบนี้ดังนี้


วิธีอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบน iOS (iPhone)

  • อัปเดตระบบปฏิบัติการ (iOS)
  • ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์) 
  • หากมีอัปเดตใหม่ ให้เลือก Download and Install (ดาวน์โหลดและติดตั้ง) 
  • ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi และชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มหรือเสียบสายชาร์จไว้ขณะทำการอัปเดต

2. อัปเดตแอปพลิเคชัน
  • เปิด App Store
  • ไปที่ Profile (โปรไฟล์) มุมขวาบน
  • เลื่อนดูรายการแอปที่ต้องการอัปเดต จากนั้นเลือก Update (อัปเดต) หรือ Update All (อัปเดตทั้งหมด)


วิธีอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบน Android

1. อัปเดตระบบปฏิบัติการ (Android)
  • ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > System (ระบบ) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์) หรือ About phone (เกี่ยวกับโทรศัพท์) 
  • เลือก Check for updates (ตรวจสอบการอัปเดต) แล้วทำตามขั้นตอน
  • เช่นเดียวกับ iOS ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi และชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม

2. อัปเดตแอปพลิเคชัน
  • เปิด Google Play Store
  • ไปที่ Profile (โปรไฟล์) > Manage apps & device (จัดการแอปและอุปกรณ์)
  • เลือก Update all (อัปเดตทั้งหมด) หรือเลือกอัปเดตเฉพาะแอปที่ต้องการ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

ให้เปิดการอัปเดตอัตโนมัติ: วิธีนี้ จะช่วยให้แอปพลิเคชันและระบบปฏิบัติการของคุณอัปเดตอยู่เสมอโดยไม่ต้องทำด้วยตนเอง
  • บน iOS: ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > App Store > เปิด App Updates (อัปเดตแอป)
  • บน Android: ไปที่ Google Play Store > Profile (โปรไฟล์) > Settings (การตั้งค่า) > Network preferences (การตั้งค่าเครือข่าย) > เปิด Auto-update apps (อัปเดตแอปอัตโนมัติ)

สิ่งสำคัญ ควรสำรองข้อมูลก่อนการอัปเดต: เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย ควรทำการ Backup ข้อมูลก่อนทุกครั้ง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ยังไม่เคยมีปัญหาของข้อมูล หลังการอัปเดทระบบปฏิบัติการบนมือถือเลย

บทสรุป การอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สมาร์ทโฟนของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น อย่าลืมตรวจสอบการอัปเดตเป็นประจำเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด!

100 คำศัพท์ซอฟต์แวร์โรงแรม

Library

ระบบซอฟต์แวร์โรงแรมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการงานต่างๆ ภายในโรงแรม ตั้งแต่การจองห้องพัก การเช็คอิน-เช็คเอาท์ การจัดการห้องพัก การจัดการบัญชี และการสื่อสารกับลูกค้า ซอฟต์แวร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าพัก 

10 อาชีพเงินล้าน AI แย่งไม่ได้: จบใหม่ก็ปัง!

occupation

งาน AI ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลสำหรับน้อง ๆ จบใหม่เสมอไป! ถึงแม้ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกการทำงานมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะยังมีอีกหลายอาชีพที่ AI ไม่สามารถเข้ามาทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ 

Microsoft PowerPoint Keyboard Shortcuts

PowerPoint Keyboard Shortcuts

Microsoft PowerPoint เป็นโปรแกรมที่ใช้สร้างงานนำเสนอที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมในระดับองค์กรและการศึกษา เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสไลด์ที่มีความหลากหลาย ทั้งการจัดรูปแบบข้อความ การแทรกรูปภาพ และการใช้เอฟเฟกต์ที่หลากหลาย เพื่อนำเสนอข้อมูลให้น่าสนใจและชัดเจนยิ่งขึ้น

การใช้คีย์บอร์ดชอร์ตคัทใน PowerPoint สามารถช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมาก คำสั่งชอร์ตคัทช่วยลดเวลาที่ใช้ในการค้นหาฟังก์ชันต่างๆ ผ่านเมนู โดยทำให้สามารถเข้าถึงคำสั่งต่างๆ ได้โดยตรงผ่านการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด เช่น การสร้างสไลด์ใหม่ การบันทึกไฟล์ หรือการเริ่มการนำเสนอ 

ดังนั้น สรุปได้ว่า การรู้จักและใช้ชอร์ตคัทที่เหมาะสมจะช่วยให้การสร้าง และจัดการงานนำเสนอเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มาเริ่มต้นเรียนรู้กันเลย..


20 Microsoft PowerPoint Keyboard Shortcuts 

คีย์บอร์ด ชอร์ตคัต รายละเอียด วิธีการใช้งาน
Ctrl + N สร้างงานนำเสนอใหม่ ใช้เพื่อเริ่มต้นงานนำเสนอใหม่ใน PowerPoint
Ctrl + O เปิดไฟล์งานนำเสนอ ใช้เพื่อเปิดไฟล์งานนำเสนอที่มีอยู่
Ctrl + S บันทึกงานนำเสนอ ใช้เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงในไฟล์งานนำเสนอ
Ctrl + P พิมพ์งานนำเสนอ ใช้เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบการพิมพ์งานนำเสนอ
Ctrl + C คัดลอก ใช้เพื่อคัดลอกเนื้อหาที่เลือก
Ctrl + X ตัด ใช้เพื่อตัดเนื้อหาที่เลือก
Ctrl + V วาง ใช้เพื่อวางเนื้อหาที่คัดลอกหรือถูกตัด
Ctrl + Z ย้อนกลับ ใช้เพื่อย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงล่าสุด
Ctrl + Y ทำซ้ำ ใช้เพื่อทำซ้ำการเปลี่ยนแปลงที่ถูกย้อนกลับ
Ctrl + M เพิ่มสไลด์ใหม่ ใช้เพื่อเพิ่มสไลด์ใหม่ในงานนำเสนอ
Ctrl + D คัดลอกสไลด์ ใช้เพื่อคัดลอกสไลด์ที่เลือกและวางในตำแหน่งใหม่
F5 เริ่มแสดงงานนำเสนอ ใช้เพื่อเริ่มการนำเสนอจากสไลด์แรก
Shift + F5 เริ่มแสดงงานนำเสนอจากสไลด์ปัจจุบัน ใช้เพื่อเริ่มการนำเสนอจากสไลด์ที่คุณอยู่
Alt + N เปิดแท็บ "แทรก" ใช้เพื่อเปิดแท็บ "แทรก" บนริบบอน
Alt + H เปิดแท็บ "หน้าแรก" ใช้เพื่อเปิดแท็บ "หน้าแรก" บนริบบอน
Ctrl + B ตัวหนา ใช้เพื่อทำให้ข้อความที่เลือกเป็นตัวหนา
Ctrl + I ตัวเอียง ใช้เพื่อทำให้ข้อความที่เลือกเป็นตัวเอียง
Ctrl + U ขีดเส้นใต้ ใช้เพื่อทำให้ข้อความที่เลือกขีดเส้นใต้
Ctrl + K แทรกลิงก์ ใช้เพื่อแทรกลิงก์ในข้อความที่เลือก
Ctrl + T เปิดกล่องข้อความ "ตัวอักษร" ใช้เพื่อเปิดกล่องข้อความสำหรับการตั้งค่าตัวอักษร
Ctrl + E จัดกึ่งกลาง ใช้เพื่อจัดข้อความให้กึ่งกลางในสไลด์
Ctrl + L จัดชิดซ้าย ใช้เพื่อจัดข้อความให้ชิดซ้าย
Ctrl + R จัดชิดขวา ใช้เพื่อจัดข้อความให้ชิดขวา

บทสรุป Microsoft PowerPoint เป็นเครื่องมือสร้างงานนำเสนอที่มีประสิทธิภาพ การใช้คีย์บอร์ดชอร์ตคัทช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานและประสิทธิภาพ โดยการเข้าถึงคำสั่งต่างๆ ได้ทันที ทำให้การสร้างและจัดการสไลด์เป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น

#Software #MicrosoftOffice #MicrosoftPowerPoint #Office  #PowerPoint #Presentation #KeyboardShortCuts

Clipchamp โปรแกรมตัดต่อวิดีโอจาก Microsoft

Clipchamp templates

Microsoft Clipchamp เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่พัฒนาโดยบริษัท Clipchamp และได้รับการเข้าซื้อกิจการโดย Microsoft ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างและตัดต่อวิดีโอได้ง่าย ๆ 

ความสำคัญของ Driver คอมพิวเตอร์

Windows Device Manager

Driver ของคอมพิวเตอร์เป็นซอฟต์แวร์ ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างระบบปฏิบัติการ และฮาร์ดแวร์ เช่น การ์ดจอ, เครื่องพิมพ์, และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการทำงานของ Driver จะช่วยให้ระบบปฏิบัติการสามารถสื่อสารและควบคุมฮาร์ดแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การอัพเดต Driver เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แก้ไขปัญหาบั๊ก และปรับปรุงความปลอดภัยให้กับระบบ นอกจากนี้ การติดตั้ง Driver ใหม่สามารถช่วยให้คุณใช้งานฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การดูแลและอัพเดต Driver เป็นส่วนสำคัญในการรักษาความเสถียรและประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น


ความสำคัญของ Driver

  • การทำงานร่วมกัน
    Driver ช่วยให้ฮาร์ดแวร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ

  • ประสิทธิภาพ
    การอัพเดต Driver สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฮาร์ดแวร์และปรับปรุงฟังก์ชันใหม่ ๆ

  • ความปลอดภัย
    การอัพเดต Driver สามารถแก้ไขข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยที่อาจถูกโจมตี

ทำไมต้องอัพเกรด

  • การแก้ไขบั๊ก
    อัพเดต Driver จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากเวอร์ชันก่อนหน้า

  • การสนับสนุนฟีเจอร์ใหม่
    อัพเดต Driver มักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์หรือการปรับปรุงใหม่ ๆ ที่สามารถทำให้การทำงานดียิ่งขึ้น

  • การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่
    อัพเดต Driver จำเป็นเพื่อให้สามารถใช้งานกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ได้อย่างเหมาะสม

การติดตั้งและอัพเกรด Driver ในคอมพิวเตอร์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่คุณใช้ นี่คือวิธีที่คุณสามารถทำได้สำหรับ Windows


วิธีติดตั้งและอัพเกรด Driver

1. ผ่าน Device Manager:
  • คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วเลือก "Device Manager"
  • ค้นหาอุปกรณ์ที่คุณต้องการอัพเดต Driver
  • คลิกขวาที่อุปกรณ์นั้นแล้วเลือก "Update driver"
  • เลือก "Search automatically for updated driver software" เพื่อให้ Windows ค้นหา Driver เวอร์ชันใหม่โดยอัตโนมัติ
2. ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ผู้ผลิต:
  • เข้าไปที่เว็บไซต์ของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ (เช่น NVIDIA, AMD, Intel)
  • ค้นหาแผนก "Support" หรือ "Downloads"
  • ป้อนรุ่นของอุปกรณ์หรือเลือกจากรายการ
  • ดาวน์โหลด Driver ที่เหมาะสมกับระบบปฏิบัติการของคุณ
  • ติดตั้งโดยดับเบิลคลิกที่ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแล้วทำตามคำแนะนำ

3. ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยอัพเดต Driver:
  • มีซอฟต์แวร์หลายตัวที่สามารถช่วยตรวจสอบและอัพเดต Driver ให้คุณ เช่น Driver Booster, Snappy Driver Installer
  • ดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์ จากนั้นเปิดโปรแกรมและทำตามคำแนะนำเพื่ออัพเดต Driver

4. ติดตั้ง Driver ใหม่:
  • หากคุณต้องการติดตั้ง Driver ใหม่ (เช่น เมื่อต้องการเปลี่ยนการ์ดจอ) ให้ดาวน์โหลด Driver ที่เหมาะสมแล้วเปิดไฟล์ติดตั้ง
  • ทำตามขั้นตอนการติดตั้งจนเสร็จสิ้น

 หมายเหตุ:
  • ควรสร้างจุดคืนค่าระบบก่อนอัพเดต Driver เพื่อให้สามารถย้อนกลับได้หากเกิดปัญหา
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณดาวน์โหลด Driver จากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น

บทสรุป การติดตั้งและการอัพเดต Driver ของชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นขั้นตอนที่สำคัญ ในการรักษาประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบคอมพิวเตอร์ 

ความสำคัญของ Windows License ที่คุณควรรู้

Windows Logo

Windows คือระบบปฏิบัติการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับบุคคลและองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ Windows เป็นอย่างดี 

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “Windows License” หรือสิทธิการใช้งานซอฟต์แวร์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญทั้งในด้านความปลอดภัย ความเสถียร และการอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ License แบบ FPP (Full Packaged Product) และ OEM (Original Equipment Manufacturer) ซึ่งเป็นสองรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่มีความแตกต่างในด้านการติดตั้ง การโอนสิทธิ และเงื่อนไขการใช้งาน 

ดังนั้น การเลือกซื้อ License ที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความคุ้มค่าในการใช้งานเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย และการป้องกันปัญหาจากซอฟต์แวร์เถื่อนอีกด้วย  


Windows License: FPP กับ OEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

Windows License คืออะไร

License ของ Windows คือสิทธิ์ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถติดตั้งและใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดย Microsoft เป็นผู้กำหนดรูปแบบและเงื่อนไขในการออก License เหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

Windows License มีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้งานทั่วไปมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
  • FPP (Full Packaged Product)
  • OEM (Original Equipment Manufacturer)

1. FPP (Full Packaged Product) คืออะไร

FPP คือ License แบบกล่อง ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปหรือออนไลน์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายโดยตรงจาก Microsoft หรือผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต

คุณสมบัติของ FPP
  • สามารถโอนสิทธิการใช้งานไปยังเครื่องอื่นได้ (แต่ใช้ได้ทีละเครื่อง)
  • ใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ (ตามเงื่อนไขของ Microsoft)
  • มีแผ่นติดตั้งหรือไฟล์ติดตั้งพร้อมคีย์ License
  • ราคาสูงกว่า OEM

ข้อดีของ FPP
  • ยืดหยุ่นในการใช้งาน: ถ้าคุณเปลี่ยนเครื่องใหม่ ก็สามารถถอนการติดตั้งจากเครื่องเก่าและนำไปใช้กับเครื่องใหม่ได้
  • เหมาะสำหรับผู้ใช้งานตามบ้านหรือองค์กรขนาดเล็กที่ต้องการความคุ้มค่าในระยะยาว

2. OEM (Original Equipment Manufacturer) คืออะไร

OEM คือ License ที่มาพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซื้อจากผู้ผลิต เช่น Dell, HP, Lenovo เป็นต้น โดยจะถูกติดตั้งมากับเครื่องตั้งแต่โรงงาน

คุณสมบัติของ OEM
  • ติดตั้งและผูกกับเครื่องเดียวเท่านั้น ไม่สามารถโอนสิทธิไปเครื่องอื่นได้
  • ไม่มีแผ่นติดตั้งแยกมาให้ (ใช้ผ่าน Recovery หรือ Cloud)
  • ราคาถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับ FPP

ข้อดีของ OEM
  • ประหยัดงบประมาณ: ราคาต่ำ ทำให้ต้นทุนรวมของคอมพิวเตอร์ลดลง
  • เหมาะสำหรับองค์กรหรือบุคคลที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเครื่องบ่อย

ข้อจำกัดของ OEM
  • หากเมนบอร์ดพังและต้องเปลี่ยนใหม่ อาจต้องซื้อ License ใหม่ (เว้นแต่ในกรณีเคลมจากผู้ผลิตเดิม)
  • ไม่สามารถโอนสิทธิให้เครื่องอื่นได้ แม้จะไม่ได้ใช้งานแล้ว

การเปรียบเทียบแบบชัดเจน: FPP vs OEM
  • ความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
    FPP สูง (ย้ายเครื่องได้)       
    OEM ต่ำ (ใช้ได้เฉพาะเครื่องเดียว) 
  • ราคา                     
    FPP แพงกว่า                   
    OEM ถูกกว่า                       
  • วิธีการได้มา             
    FPP ซื้อจากร้าน/ออนไลน์         
    OEM มาพร้อมกับเครื่อง             
  • การรับประกัน             
    FPP แยกต่างหากจากฮาร์ดแวร์     
    OEM ผูกกับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์        
  • ความเหมาะสม             
    FPP ผู้ใช้ทั่วไป/องค์กรขนาดเล็ก
    OEM ผู้ผลิต/องค์กรขนาดใหญ่        

สำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน ควรเลือกแบบใด?

ผู้ใช้งานทั่วไปที่
  • เปลี่ยนคอมพิวเตอร์บ่อย
  • ต้องการความยืดหยุ่น
  • ต้องการติดตั้ง Windows เอง
  แนะนำ: เลือก FPP เพื่อการลงทุนระยะยาว แม้ราคาแพงแต่คุ้มค่าในภาพรวม

แต่หากคุณ
  • ซื้อเครื่องใหม่ที่มาพร้อม Windows อยู่แล้ว
  • ไม่คิดจะเปลี่ยนเครื่องบ่อย
  • ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการใช้งานพื้นฐาน
 OEM ก็เป็นทางเลือกที่ดี ประหยัดงบและใช้งานได้ครบ


สำหรับองค์กร ควรเลือกแบบใด

องค์กรขนาดเล็ก:
  • ควรเลือก FPP เพื่อความยืดหยุ่นในการบริหาร License และอาจใช้ควบคู่กับ Microsoft 365 ซึ่งรวมบริการอื่น ๆ ด้วย

องค์กรขนาดกลางถึงใหญ่:
  • สามารถเลือกใช้ OEM หากซื้อเครื่องพร้อมระบบจำนวนมาก หรือพิจารณา Volume Licensing ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ License แบบจำนวนมากพร้อมสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น Software Assurance

สิ่งที่ควรระวังในการเลือกซื้อ License
  • อย่าซื้อ License ราคาถูกผิดปกติจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ License จาก “Key Sharing” หรือจากซอฟต์แวร์เถื่อน ซึ่งเสี่ยงต่อมัลแวร์และผิดกฎหมาย
  • ตรวจสอบแหล่งจำหน่ายว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Microsoft

ข้อดีของการใช้ License ของแท้
  • ได้รับการอัปเดตระบบป้องกันความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
  • ลดความเสี่ยงจากไวรัส มัลแวร์ และแฮกเกอร์
  • ใช้ซอฟต์แวร์ได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น Windows Defender, Windows Hello และฟีเจอร์ของ Windows 11
  • มีบริการช่วยเหลือจาก Microsoft หรือผู้ผลิตอุปกรณ์

บทสรุป: เลือก Windows License อย่างไรให้คุ้มค่า

การเลือก License Windows ที่เหมาะสม ต้องพิจารณาจากลักษณะการใช้งาน งบประมาณ และความยืดหยุ่นที่ต้องการ สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการความคล่องตัวในการย้ายเครื่อง License แบบ FPP คือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ในขณะที่ OEM เหมาะสำหรับผู้ที่ซื้อเครื่องใหม่และต้องการใช้งานทันทีในราคาประหยัด

สำหรับองค์กร การเลือก License ควรวางแผนล่วงหน้า และอาจปรึกษาผู้ให้บริการไอที เพื่อเลือกแบบที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย การบริหารจัดการ และการขยายในอนาคต

โอนไฟล์ผ่านเครือข่ายไร้สาย ใครก็ทำได้

File Transfer

การโอนไฟล์ผ่านเครือข่ายไร้สาย: สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว

การโอนไฟล์ผ่านเครือข่ายไร้สายเป็นวิธีที่ทันสมัยและสะดวกสบายสำหรับการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ โดย ไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตหรือสายเชื่อมต่อใด ๆ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ไฟล์ เช่น รูปภาพ เอกสาร วิดีโอ หรือไฟล์เสียง ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยภายในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน 

หนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์การโอนข้อมูลแบบไร้สายคือ "LocalSend" ซึ่งเป็น แอปพลิเคชันโอเพนซอร์ซ ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย รองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต 

นอกจากจะช่วยลดความยุ่งยากแล้ว LocalSend ยังให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากไฟล์จะไม่ถูกอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก การโอนไฟล์แบบนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในสำนักงาน บ้าน หรือสภาพแวดล้อมที่มีเครือข่ายท้องถิ่นเป็นหลัก


LocalSend คืออะไร?  

LocalSend File Transfer
LocalSend เป็นแอปพลิเคชันโอเพนซอร์ซที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก รองรับไฟล์หลากหลายรูปแบบ เช่น เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์เสียง แอปนี้มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่าย ความปลอดภัย และการประหยัดเวลา เหมาะสำหรับการส่งไฟล์ในสภาพแวดล้อมที่มีเครือข่ายท้องถิ่น เช่น ที่ทำงาน บ้าน หรือโรงเรียน  


ประโยชน์ของ LocalSend  

1. ความสะดวกและรวดเร็ว  
  • แชร์ไฟล์ได้ทันทีในเครือข่ายเดียวกันโดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ซับซ้อน  

2. ปลอดภัย  
  • ไม่มีการอัปโหลดไฟล์ขึ้นเซิร์ฟเวอร์ จึงลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูล  

3. ประหยัดทรัพยากร  
  • ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต จึงช่วยลดการใช้ข้อมูลมือถือหรือทรัพยากรระบบ  

4. รองรับหลากหลายอุปกรณ์  
  • ใช้งานได้ทั้ง Windows, macOS, Linux, iOS และ Android  

5. โอเพนซอร์ซ  
  • โค้ดมีความโปร่งใส นักพัฒนาสามารถตรวจสอบหรือปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ  


วิธีการใช้งาน LocalSend  

1. ติดตั้งแอปพลิเคชัน  
  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง LocalSend จากเว็บไซต์ทางการ [LocalSend](https://localsend.org) หรือ App Store/Google Play  

2. เชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่ายเดียวกัน  
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทุกเครื่องที่ต้องการแชร์ไฟล์เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน  

3. เปิดแอปและเลือกไฟล์ที่ต้องการส่ง  
  • เปิด LocalSend และเลือกไฟล์ที่ต้องการแชร์  

4. ค้นหาอุปกรณ์ปลายทาง  
  • แอปจะค้นหาอุปกรณ์อื่น ๆ ในเครือข่ายโดยอัตโนมัติ หรือสามารถป้อนรหัส PIN เพื่อเชื่อมต่อ  

5. ยืนยันการรับไฟล์  
  • ผู้รับต้องอนุมัติการรับไฟล์เพื่อเริ่มการถ่ายโอน  

6. เสร็จสิ้น  
  • เมื่อการโอนสำเร็จ ไฟล์จะปรากฏในอุปกรณ์ปลายทาง  


ข้อควรทราบ  
  • วิธีการตั้งชื่อ ให้คลิก Settings ->Device Name (Network) จากนั้นกดปุ่ม Refresh ในหัวข้อ Server
  • ตั้ง Folder ที่จัดเก็บบนคอมพิวเตอร์ ให้คลิกเข้าไปที่ Settings -> Save to folder (Receive)
  • หากไม่พบอุปกรณ์ในเครือข่าย ให้ตรวจสอบการตั้งค่าไฟร์วอลล์หรืออนุญาตให้แอปเข้าถึงเครือข่าย  
  • แอปเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่เดียวกัน ไม่รองรับการส่งไฟล์ผ่านอินเทอร์เน็ต  

บทสรุป โปรแกรมหรือแอป LocalSend เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแชร์ไฟล์ในเครือข่ายที่ต้องการความปลอดภัยและความรวดเร็วในระดับท้องถิ่น แถมรองรับการโอนย้ายไฟล์ขนาดใหญ่ได้อีกด้วย

#FileTransfer #Network #WiFi #LocalSend #Software

Top 5 ฟรีโปรแกรมประชุมออนไลน์

Online Meeting

การประชุมออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในยุคดิจิทัลที่เราทำงานและติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือการประชุมออนไลน์ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องพบปะกันตัวต่อตัว 

Microsoft Outlook ทำอะไรได้มากกว่า รับส่งอีเมล

Microsoft Outlook
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้โปรแกรม Microsoft Outlook ในการรับส่งอีเมล แนะนำว่า อยากให้อ่านบทความนี้ให้จบ แล้วคุณจะพบว่า Outlook ทำได้มากกว่าที่หลายคนคิด พร้อมตัวอย่างการใช้งาน

Microsoft Outlook เป็นแอปพลิเคชันที่รวมฟังก์ชันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลไว้ในที่เดียว ประกอบด้วยอีเมล ปฏิทิน รายชื่อผู้ติดต่อ และงาน Outlook เป็นส่วนหนึ่งของชุดโปรแกรม Microsoft 365 และยังมีแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป สมาร์ทโฟน และออนไลน์

คุณสมบัติ (Features) และการนำไปใช้งาน

1. Email Management (การจัดการอีเมล)
  • การใช้งาน ผู้ใช้สามารถส่ง รับ และจัดการอีเมลได้ในอินเทอร์เฟซเดียว Outlook มีระบบการจัดหมวดหมู่อีเมลที่ช่วยให้การค้นหาและการจัดการอีเมลสะดวกมากขึ้น
  • ตัวอย่าง ผู้ใช้สามารถตั้งค่า Rules เพื่อให้ Outlook จัดหมวดหมู่อีเมลโดยอัตโนมัติตามผู้ส่งหรือหัวเรื่อง เช่น หากอีเมลมาจากหัวหน้า ระบบจะจัดไปอยู่ในโฟลเดอร์ "สำคัญ" โดยอัตโนมัติ

2. Calendar (ปฏิทิน)
  • การใช้งาน ช่วยจัดการการนัดหมาย การประชุม และกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ใช้สามารถดูและเพิ่มกำหนดการได้ รวมถึงการตั้งการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อไม่พลาดการนัดหมายสำคัญ
  • ตัวอย่าง หากต้องการนัดหมายการประชุมกับทีมงาน ผู้ใช้สามารถสร้างเหตุการณ์ในปฏิทิน และส่งคำเชิญผ่านทาง Outlook Calendar พร้อมระบุเวลาที่สะดวกได้

3. Contacts (รายชื่อผู้ติดต่อ)
  • การใช้งาน จัดเก็บและจัดการข้อมูลผู้ติดต่อ Outlook ช่วยให้คุณสามารถค้นหาและเชื่อมต่อกับผู้ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว
  • ตัวอย่าง สามารถสร้างกลุ่มผู้ติดต่อสำหรับการส่งอีเมลกลุ่ม เช่น กลุ่มลูกค้า VIP ที่ต้องการส่งข้อมูลอัปเดตพิเศษโดยเฉพาะ

4. Tasks (งาน)
  • การใช้งาน Outlook มีฟังก์ชันการจัดการงานที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามสถานะงาน สร้างงานใหม่ และตั้งค่าการแจ้งเตือนตามกำหนดเวลาได้
  • ตัวอย่าง ผู้ใช้สามารถสร้างงาน "ส่งรายงานประจำเดือน" โดยตั้งเวลาเตือน 1 วันก่อนถึงกำหนดส่ง และสามารถทำเครื่องหมายว่าเสร็จสิ้นได้เมื่อทำงานเสร็จ

5. Notes (บันทึกย่อ)
  • การใช้งาน ผู้ใช้สามารถบันทึกย่อหรือจดหมายเหตุไว้ใน Outlook ฟังก์ชันนี้เหมาะสำหรับการจดข้อมูลสำคัญหรือไอเดียที่ต้องการบันทึกอย่างรวดเร็ว
  • ตัวอย่าง หากคุณมีไอเดียใหม่สำหรับโปรเจ็กต์ที่กำลังทำอยู่ คุณสามารถสร้าง Note ใน Outlook และจดข้อมูลไว้เพื่อใช้ในภายหลัง

6. Integration with Other Microsoft 365 Apps (การทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นใน Microsoft 365)
  • การใช้งาน Outlook สามารถเชื่อมต่อกับแอปอื่น ๆ ใน Microsoft 365 เช่น Microsoft Teams, OneDrive, และ SharePoint เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ตัวอย่าง สามารถเปิดไฟล์เอกสารใน OneDrive จากอีเมลใน Outlook ได้โดยตรง หรือกำหนดการประชุมใน Teams ผ่านปฏิทิน Outlook ได้ทันที

การใช้งาน Microsoft Outlook ทำให้การจัดการข้อมูลส่วนตัวและการสื่อสารเป็นไปได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและการผสานการทำงานกับแอปอื่น ๆ ใน Microsoft 365 Outlook จึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ใช้งานในทุกระดับ


ทิปเพิ่มเติม Integration

 Integration with Other Microsoft 365 Apps (การทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นใน Microsoft 365)

Microsoft Outlook สามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ ในชุด Microsoft 365 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานแบบบูรณาการได้โดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างแอปต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกในการใช้งานอีกด้วย

รายละเอียดการทำงานร่วมกัน
1. Microsoft Teams
  • การใช้งาน Outlook สามารถกำหนดและจัดการการประชุมผ่าน Teams ได้โดยตรงจากปฏิทินของ Outlook เมื่อกำหนดการประชุม ระบบจะสร้างลิงก์ Teams Meeting ให้โดยอัตโนมัติ
  • ตัวอย่าง หากคุณต้องการจัดการประชุมออนไลน์กับทีมงาน คุณสามารถตั้งการประชุมในปฏิทิน Outlook และเลือก "Teams Meeting" เพื่อสร้างลิงก์ประชุมโดยอัตโนมัติ ผู้เข้าร่วมสามารถคลิกลิงก์จากอีเมลเชิญเพื่อเข้าร่วมประชุมได้ทันที

2. OneDrive
  • การใช้งาน Outlook สามารถเชื่อมต่อกับ OneDrive เพื่อจัดการและแชร์ไฟล์ในอีเมลได้อย่างง่ายดาย ผู้ใช้สามารถแนบไฟล์จาก OneDrive แทนการส่งไฟล์โดยตรง ทำให้ไฟล์ไม่ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอีเมลมาก
  • ตัวอย่าง หากต้องการส่งไฟล์ขนาดใหญ่ให้เพื่อนร่วมงาน แทนที่จะส่งไฟล์แนบ คุณสามารถเลือกไฟล์จาก OneDrive และส่งเป็นลิงก์ในอีเมลแทน ผู้รับจะสามารถดาวน์โหลดหรือเปิดไฟล์ผ่านลิงก์นั้นได้

3. SharePoint
  • การใช้งาน Outlook รองรับการเชื่อมต่อกับ SharePoint ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเอกสารหรือไฟล์ที่จัดเก็บไว้ใน SharePoint ได้โดยตรงจาก Outlook และสามารถแชร์ไฟล์กับทีมงานหรือกลุ่มโครงการได้
  • ตัวอย่าง เมื่อคุณได้รับอีเมลที่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์ที่มีไฟล์เก็บไว้ใน SharePoint คุณสามารถเปิดไฟล์จาก SharePoint โดยตรงผ่านอีเมลใน Outlook และแก้ไขไฟล์ได้โดยไม่ต้องเปิดแอปอื่น

4. Planner
  • การใช้งาน Outlook สามารถเชื่อมต่อกับ Microsoft Planner เพื่อจัดการงานและโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ผู้ใช้สามารถดูและอัปเดตสถานะของงานใน Planner ผ่านทาง Outlook ได้
  • ตัวอย่าง หากคุณได้รับอีเมลที่มีงานใหม่ คุณสามารถเพิ่มงานนั้นไปยัง Planner ได้ทันที และสามารถติดตามความคืบหน้าของงานผ่าน Outlook ได้โดยไม่ต้องสลับไปที่ Planner

5. To Do
  • การใช้งาน Outlook สามารถเชื่อมโยงกับ Microsoft To Do เพื่อจัดการรายการสิ่งที่ต้องทำ ผู้ใช้สามารถดูงานที่สร้างใน Outlook ใน To Do ได้ ทำให้การติดตามงานและการจัดการสิ่งที่ต้องทำง่ายขึ้น
  • ตัวอย่าง เมื่อคุณตั้งค่าการแจ้งเตือนงานใน Outlook งานนั้นจะปรากฏใน To Do โดยอัตโนมัติ ช่วยให้คุณจัดการงานในที่เดียวได้สะดวก

ข้อดีของการทำงานร่วมกัน
  • เพิ่มประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันช่วยให้การทำงานไม่สะดุด และช่วยลดการเสียเวลาในการสลับไปมาระหว่างแอปต่าง ๆ
  • การทำงานแบบบูรณาการ ทุกเครื่องมือสามารถเชื่อมต่อกัน ทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ถูกรวบรวมและจัดการได้ง่ายและเป็นระบบ
  • การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์ข้อมูลและการประชุมผ่านเครื่องมือที่เชื่อมต่อกันช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

บทสรุป ในเรื่องการผสานการทำงานของ Outlook กับแอปอื่น ๆ ใน Microsoft 365 จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในองค์กร

#Software #MicrosoftOffice #MicrosoftOutlook

มือใหม่หัดใช้สมาร์ทโฟน แอนดรอยด์

A boy and smartphone Android

การเริ่มต้นใช้งานสมาร์ทโฟน Android อาจดูซับซ้อนสำหรับมือใหม่ แต่ไม่ต้องกังวลครับ! สมาร์ทโฟน Android ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย แม้คุณจะไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็ตาม ไม่เชื่อ ก็คงต้องลองดูก่อน

มาเริ่มต้น ด้วยวิธีการเปิดเครื่อง และทำการตั้งค่าพื้นฐาน เช่น การเลือกภาษา การเชื่อมต่อ Wi-Fi และการเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ต้องการได้ จากนั้นคุณจะได้รู้จักกับหน้าจอหลักและฟังก์ชันต่างๆ เช่น การโทร การส่งข้อความ และการใช้งานกล้องอย่างง่ายดาย 

นอกจากนี้ คุณยังสามารถติดตั้งและจัดการแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ง่าย เพื่อทำให้สมาร์ทโฟนสามารถทำอะไรได้มากกว่าแค่ รับสายและโทรออก รวมทั้งเราสามารถตั้งค่าเบื้องต้นและการดูแลเครื่องเพื่อให้ใช้งานได้อย่างราบรื่น พร้อมแล้วเริ่มต้นกันเลยครับ!

แนะนำใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เบื้องต้น

1. เปิดเครื่องและตั้งค่าครั้งแรก
  • เปิดเครื่อง
    กดปุ่มเปิด/ปิดที่ด้านข้างหรือด้านบนของสมาร์ทโฟนค้างไว้ประมาณ 3-5 วินาทีจนกว่าโลโก้ของยี่ห้อสมาร์ทโฟนจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอ จากนั้นปล่อยปุ่ม

  • เลือกภาษา
    เมื่อเครื่องเปิดขึ้นมา ให้เลือกภาษาไทยจากเมนูที่ปรากฏบนหน้าจอ ถ้าภาษาไทยไม่แสดงให้เลื่อนลงมาที่ "Select language" แล้วเลือก "ไทย"

  • เชื่อมต่อ Wi-Fi
    เครื่องจะสแกนหาเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เคียง ให้เลือกเครือข่าย Wi-Fi ที่ต้องการจากรายการที่แสดง แล้วใส่รหัสผ่านที่ถูกต้อง (รหัสผ่านสามารถหาได้จากเราเตอร์หรือเจ้าของเครือข่าย)

  • เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google
    บัญชี Google จะช่วยให้คุณสามารถดาวน์โหลดแอปจาก Play Store ใช้บริการ Google เช่น Gmail และ Google Drive หากไม่มีบัญชี Google ให้เลือก “สร้างบัญชี” และกรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อ, อีเมล, รหัสผ่าน

2. รู้จักหน้าจอหลัก
  • หน้าจอหลัก (Home Screen)
    เป็นหน้าจอที่แสดงเมื่อคุณเปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Home มีไอคอนต่างๆ เช่น โทรศัพท์, ข้อความ, กล้อง และแอปพลิเคชันที่คุณติดตั้ง

  • แถบสถานะ (Status Bar)
    อยู่ที่ด้านบนของหน้าจอ แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น สัญญาณโทรศัพท์ (แสดงจำนวนสัญญาณที่มี), สถานะแบตเตอรี่ (ระดับความจุของแบตเตอรี่), และการแจ้งเตือน (เช่น ข้อความใหม่หรือการอัปเดต)

  • แถบการแจ้งเตือน (Notification Panel)
    เลื่อนนิ้วจากขอบบนของหน้าจอลงมาจะเห็นการแจ้งเตือน เช่น การแจ้งเตือนข้อความใหม่หรือการอัปเดตแอป นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงการตั้งค่าอย่างรวดเร็ว เช่น การเปิด/ปิด Wi-Fi หรือบลูทูธ

3. การโทรและส่งข้อความ
  • โทรออก
    เปิดแอป “โทรศัพท์” (Phone) โดยการกดไอคอนโทรศัพท์บนหน้าจอหลัก ใส่หมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการโทรออก จากนั้นกดปุ่มโทร (ปกติเป็นรูปโทรศัพท์สีเขียว)

  • รับสาย
    เมื่อมีสายโทรเข้า หน้าจอจะแสดงหมายเลขโทรศัพท์หรือชื่อผู้โทร ให้เลื่อนนิ้วที่ปุ่มรับสาย (มักจะเป็นรูปโทรศัพท์สีเขียว) เพื่อรับสาย หรือปัดปุ่มปฏิเสธสาย (มักจะเป็นรูปโทรศัพท์สีแดง) เพื่อปฏิเสธสาย

  • ส่งข้อความ
    เปิดแอป “ข้อความ” (Messages) กดปุ่ม “สร้างข้อความใหม่” (Compose) ซึ่งมักจะเป็นสัญลักษณ์ของปากกา หรือสัญลักษณ์ “+” ใส่หมายเลขโทรศัพท์หรือเลือกผู้ติดต่อจากรายชื่อ แล้วพิมพ์ข้อความที่ต้องการส่ง จากนั้นกดปุ่มส่ง (ปกติเป็นรูปเครื่องบินกระดาษ)

4. การติดตั้งแอปพลิเคชัน
  • เข้า Google Play Store
    เปิดแอป “Play Store” (สัญลักษณ์เป็นถุงช็อปปิ้งสีเขียว) ซึ่งเป็นที่ที่คุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ได้

  • ค้นหาแอป
    ใช้แถบค้นหาที่ด้านบนของหน้าจอ พิมพ์ชื่อแอปที่ต้องการดาวน์โหลด เช่น “Facebook” หรือ “LINE”

  • ติดตั้งแอป
    เลือกแอปจากผลการค้นหา กดปุ่ม “ติดตั้ง” (Install) เพื่อดาวน์โหลดและติดตั้งแอป เมื่อการติดตั้งเสร็จสิ้น คุณสามารถเปิดแอปนั้นได้จากหน้าจอหลักหรือจากเมนูแอป

5. การใช้งานกล้อง
  • ถ่ายภาพ
    เปิดแอป “กล้อง” (Camera) โดยการกดไอคอนกล้องบนหน้าจอหลัก หรือจากแถบการแจ้งเตือน เมื่อแอปเปิดขึ้น คุณสามารถเล็งกล้องไปที่สิ่งที่ต้องการถ่าย แล้วกดปุ่มถ่ายภาพ (ปกติเป็นปุ่มวงกลมที่อยู่ตรงกลางหน้าจอ)

  • ดูภาพที่ถ่าย
    หลังจากถ่ายภาพแล้ว สามารถดูภาพที่ถ่ายได้โดยเปิดแอป “แกลลอรี” (Gallery) หรือ “Google Photos” ซึ่งจะมีภาพทั้งหมดที่เก็บไว้ในสมาร์ทโฟน

6. การตั้งค่าเบื้องต้น
  • ตั้งค่าเสียงเรียกเข้า
    ไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > “เสียง” (Sound) > “เสียงเรียกเข้า” (Ringtone) เลือกเสียงที่ต้องการจากรายการ หรือสามารถเพิ่มเสียงเรียกเข้าใหม่ได้จากไฟล์เพลงที่คุณมี

  • เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือบลูทูธ
    ไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > “เครือข่ายและอินเทอร์เน็ต” (Network & Internet) > “Wi-Fi” เลือกเครือข่าย Wi-Fi และกรอกรหัสผ่าน หากต้องการเชื่อมต่อบลูทูธ ให้ไปที่ “บลูทูธ” (Bluetooth) เปิดบลูทูธแล้วค้นหาอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ

7. การดูแลและบำรุงรักษา
  • ปิดแอปที่ไม่ใช้
    กดปุ่ม “Recent Apps” (หรือปุ่มสามขีดแนวนอน) เพื่อดูรายการแอปที่เปิดอยู่ จากนั้นปัดแอปที่ไม่ต้องการใช้ออกไปเพื่อปิดการทำงานของแอป

  • อัพเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน
    ไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > “การอัพเดตซอฟต์แวร์” (Software Update) เพื่อตรวจสอบและอัพเดตระบบปฏิบัติการ และเปิด “Play Store” > “การตั้งค่า” (Settings) > “แอปพลิเคชันที่ติดตั้ง” (My Apps & Games) เพื่อตรวจสอบการอัพเดตแอป

8. การแก้ปัญหาพื้นฐาน
  • เครื่องค้าง
    กดปุ่มเปิด/ปิดค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที จนกว่าเครื่องจะปิด จากนั้นเปิดเครื่องใหม่

  • เชื่อมต่อ Wi-Fi ไม่ได้
    ตรวจสอบว่าได้ใส่รหัสผ่าน Wi-Fi ถูกต้องหรือไม่ หากยังไม่ได้ให้รีสตาร์ทเครื่องหรือรีสตาร์ทเราเตอร์ Wi-Fi แล้วลองเชื่อมต่อใหม่

บทสรุป การเริ่มใช้งานสมาร์ทโฟน Android สำหรับมือใหม่ไม่ยากเลย เริ่มจากการเปิดเครื่องและตั้งค่าพื้นฐาน  การติดตั้งแอปพลิเคชันจาก Google Play Store และการตั้งค่าต่างๆ จะช่วยให้การใช้งานสะดวกและราบรื่น สนุกกับการสำรวจฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้เลยครับ!

อุปกรณ์คู่ใจ YouTuber

Youtuber Equipment
อยากเป็น YouTuber ต้องลงทุนอะไรบ้าง

การเป็น YouTuber ในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากความคิดสร้างสรรค์และการเล่าเรื่องที่น่าสนใจแล้ว อุปกรณ์ถ่ายทำคุณภาพก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความน่าสนใจให้กับเนื้อหาของเรา ไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ให้ภาพคมชัด ไมโครโฟนที่บันทึกเสียงได้อย่างชัดเจน หรือไฟส่องสว่างที่ทำให้ฉากดูสดใส 

การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มคุณภาพของวิดีโอแล้ว ยังช่วยให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อุปกรณ์ที่สำคัญ ได้แก่ กล้อง ไมโครโฟน ขาตั้งกล้อง ไฟส่องสว่าง คอมพิวเตอร์สำหรับตัดต่อ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ตามความต้องการ ด้วยการมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและพร้อมใช้งาน คุณก็สามารถเริ่มต้นสร้างช่อง YouTube ในแบบที่คุณต้องการได้อย่างมืออาชีพ


ดังนั้น สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นเป็น YouTuber อุปกรณ์ที่ใช้มีความสำคัญมากเพื่อให้ได้คุณภาพของวิดีโอและเสียงที่ดี ซึ่งอุปกรณ์หลักๆ ที่จำเป็นมีดังนี้


อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับ YouTuber

1. กล้อง (Camera)

  • รายละเอียด: กล้องมีหลายประเภท เช่น กล้อง DSLR, กล้อง Mirrorless, และกล้องถ่ายวีดีโอแบบ Handycam หรือแม้แต่กล้องจากสมาร์ทโฟนที่มีความละเอียดสูงก็ใช้ได้
  • การใช้งาน: ใช้สำหรับการบันทึกวิดีโอภาพเคลื่อนไหว ควรเลือกกล้องที่สามารถบันทึกวิดีโอได้ความละเอียดสูง (Full HD หรือ 4K) และมีฟีเจอร์การโฟกัสอัตโนมัติ (Auto Focus) เพื่อให้การบันทึกภาพคมชัด ไม่หลุดโฟกัส
  • วิธีการใช้งาน: ติดตั้งกล้องบนขาตั้งกล้องเพื่อความมั่นคง และตรวจสอบแสงสว่างรอบตัว เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามและมีความคมชัด


 2. ไมโครโฟน (Microphone)

  • รายละเอียด: ไมโครโฟนมีหลายประเภท เช่น ไมโครโฟน Condenser, ไมโครโฟน Shotgun, และไมโครโฟน Lavalier (หนีบปกเสื้อ)
  • การใช้งาน: ใช้สำหรับบันทึกเสียงพูด หรือเสียงจากสภาพแวดล้อมที่ต้องการควบคุม โดยไมโครโฟนที่ดีจะช่วยให้เสียงคมชัด และลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี
  • วิธีการใช้งาน: เชื่อมต่อไมโครโฟนเข้ากับกล้องหรือเครื่องบันทึกเสียง ตั้งไมโครโฟนในระยะใกล้ผู้พูดหรือแหล่งเสียง และควรทดสอบก่อนบันทึกเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด


 3. ขาตั้งกล้อง (Tripod)

  • รายละเอียด: ขาตั้งกล้องมีหลายขนาดและความสูง เลือกใช้ตามความต้องการในการถ่ายทำ
  • การใช้งาน: ใช้เพื่อยึดกล้องให้อยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงและไม่สั่นไหวในขณะถ่ายทำ เหมาะสำหรับการถ่ายทำแบบนิ่ง หรือการถ่ายทำคนเดียว
  • วิธีการใช้งาน: ปรับความสูงและตำแหน่งของขาตั้งให้เหมาะสมกับมุมการถ่ายทำ และล็อคขาตั้งกล้องให้มั่นคงเพื่อป้องกันการสั่นไหว


 4. ไฟส่องสว่าง (Lighting)

  • รายละเอียด: มีทั้งไฟ Ring Light, ไฟ Softbox และไฟ LED
  • การใช้งาน: ช่วยให้แสงสว่างที่เพียงพอและสม่ำเสมอ ลดการเกิดเงาที่ไม่พึงประสงค์บนใบหน้าและวัตถุในภาพ
  • วิธีการใช้งาน: วางไฟในตำแหน่งที่ไม่ทำให้เกิดเงาบนใบหน้า หรือตำแหน่งที่แสงตกกระทบอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ภาพที่สว่างและนุ่มนวล


 5. คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ตัดต่อ (Computer & Editing Software)

  • รายละเอียด: คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการตัดต่อวิดีโอ เช่น RAM 8GB ขึ้นไป และใช้โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ เช่น Adobe Premiere Pro, Final Cut Pro หรือ DaVinci Resolve
  • การใช้งาน: ใช้สำหรับการตัดต่อวิดีโอ เพิ่มเอฟเฟ็กต์ ตัดฉากที่ไม่ต้องการ หรือปรับแต่งเสียง
  • วิธีการใช้งาน: นำวิดีโอที่ถ่ายมาลงในซอฟต์แวร์ตัดต่อ จัดเรียงและตัดต่อวิดีโอตามต้องการ ใส่เสียงประกอบ และปรับแต่งแสงสีให้เหมาะสมก่อนจะบันทึกเป็นไฟล์วิดีโอเพื่อนำไปเผยแพร่


 6. การ์ดหน่วยความจำและแบตเตอรี่สำรอง (Memory Card & Backup Battery)

  • รายละเอียด: เลือกการ์ดหน่วยความจำที่มีความเร็วในการบันทึกสูงและความจุเพียงพอ เช่น 64GB หรือ 128GB และมีแบตเตอรี่สำรองเพื่อใช้ในกรณีที่แบตเตอรี่หลักหมด
  • การใช้งาน: ใช้สำหรับเก็บไฟล์วิดีโอและภาพถ่ายขณะถ่ายทำ และเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อแบตเตอรี่หลักหมด
  • วิธีการใช้งาน: ตรวจสอบความพร้อมของการ์ดหน่วยความจำและแบตเตอรี่ก่อนเริ่มการถ่ายทำเพื่อป้องกันการหยุดชะงัก


 7. อุปกรณ์เสริมอื่นๆ (Accessories)

  • เช่น กริปจับมือถือ, ฟิลเตอร์เลนส์, กรีนสกรีน (Green Screen) เพื่อใช้สำหรับการตกแต่งและปรับแต่งวิดีโอเพิ่มเติมตามความต้องการของคอนเทนต์ที่ทำ


ราคาประมาณการ

การลงทุนในอุปกรณ์สำหรับการเป็น YouTuber อาจมีงบประมาณที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับคุณภาพของอุปกรณ์ที่เลือกใช้งาน โดยราคาที่แนะนำในแต่ละหมวดหมู่มีดังนี้

1. กล้อง (Camera)

  • กล้อง DSLR / Mirrorless: ราคาอยู่ในช่วง 20,000 - 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและเลนส์ที่ใช้ เช่น Canon EOS M50 (ประมาณ 25,000 บาท), Sony A6400 (ประมาณ 35,000 บาท)
  • กล้องสมาร์ทโฟน: สมาร์ทโฟนคุณภาพสูง เช่น iPhone 14 Pro (ประมาณ 40,000 บาท), Samsung Galaxy S23 (ประมาณ 30,000 บาท)


 2. ไมโครโฟน (Microphone)

  • ไมโครโฟน Condenser: เช่น Rode NT-USB (ประมาณ 4,500 - 5,500 บาท)
  • ไมโครโฟน Shotgun: เช่น Rode VideoMic Pro+ (ประมาณ 7,000 - 8,000 บาท)
  • ไมโครโฟน Lavalier: เช่น Boya BY-M1 (ประมาณ 500 - 1,000 บาท)


 3. ขาตั้งกล้อง (Tripod)

  • ขาตั้งกล้องแบบมาตรฐาน: เช่น Manfrotto Compact Light (ประมาณ 1,500 - 2,000 บาท)
  • ขาตั้งกล้องสำหรับสมาร์ทโฟน: เช่น Ulanzi MT-11 (ประมาณ 500 - 800 บาท)


 4. ไฟส่องสว่าง (Lighting)

  • Ring Light: เช่น YN128 LED Ring Light (ประมาณ 1,000 - 2,000 บาท)
  • Softbox: เช่น Neewer Softbox Kit (ประมาณ 2,500 - 4,000 บาท)
  • ไฟ LED Panel: เช่น Godox LEDP120C (ประมาณ 2,000 - 3,000 บาท)


 5. คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ตัดต่อ (Computer & Editing Software)

  • คอมพิวเตอร์ (PC / Laptop): หากเลือกใช้ MacBook Pro ราคาประมาณ 70,000 - 100,000 บาท, หากเป็น Windows Laptop เช่น Dell XPS 15 ราคาประมาณ 50,000 - 80,000 บาท
  • ซอฟต์แวร์ตัดต่อ: Adobe Premiere Pro (ประมาณ 700 - 800 บาทต่อเดือน), Final Cut Pro (ประมาณ 10,500 บาท ซื้อขาด)


 6. การ์ดหน่วยความจำและแบตเตอรี่สำรอง (Memory Card & Backup Battery)

  • การ์ดหน่วยความจำ: เช่น SanDisk Extreme Pro 64GB (ประมาณ 800 - 1,200 บาท)
  • แบตเตอรี่สำรอง: สำหรับกล้อง เช่น Canon LP-E17 (ประมาณ 1,200 - 1,500 บาท)


 7. อุปกรณ์เสริมอื่นๆ (Accessories)

  • กริปจับมือถือ (Handheld Grip): เช่น Ulanzi U-Grip (ประมาณ 400 - 700 บาท)
  • ฟิลเตอร์เลนส์ (Lens Filter): เช่น ND Filter (ประมาณ 1,000 - 2,500 บาท)
  • กรีนสกรีน (Green Screen): เช่น Neewer Green Screen (ประมาณ 1,500 - 3,000 บาท)


ราคาทั้งหมดนี้เป็นราคาคร่าวๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นหรือร้านค้าที่จำหน่าย การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับงบประมาณจะช่วยให้สามารถเริ่มต้นเป็น YouTuber ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

บทสรุป การมีอุปกรณ์เหล่านี้ จะช่วยให้การถ่ายทำวิดีโอเป็นเรื่องง่ายขึ้น และสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด สำหรับการเป็น YouTuber ที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม อาจเริ่มต้นที่อุปกรณ์ราคาไม่แพง และค่อยเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพดีขึ้น เมื่อพร้อม

WPS Office คืออะไร

WPS Office
WPS Office เป็นชุดโปรแกรมสำนักงานที่พัฒนาโดย Kingsoft Office Software เหมาะสำหรับใช้งานเอกสารแบบครบวงจร ทั้งการสร้าง แก้ไข และอ่านไฟล์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Word, Excel, PowerPoint และ PDF โดยรองรับการใช้งานทั้งบน Windows, macOS, Linux, Android, และ iOS รวมถึงสามารถใช้งานออนไลน์ผ่านเบราว์เซอร์ได้  

WPS Office โดดเด่นด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย รองรับไฟล์ที่เข้ากันได้กับ Microsoft Office และมีฟีเจอร์พิเศษ เช่น การแปลงไฟล์ PDF เป็น Word, การบีบอัดไฟล์ PDF, และแม่แบบเอกสารสำเร็จรูป  


ประโยชน์ของ WPS Office


1. รองรับไฟล์หลากหลายรูปแบบ  
  • รองรับการเปิดและแก้ไขไฟล์ Word, Excel, PowerPoint รวมถึง PDF  
  • ใช้ร่วมกับ Microsoft Office ได้อย่างราบรื่น  

2. ฟีเจอร์ที่ครบครัน
  • มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการเอกสาร เช่น การแก้ไขเอกสาร การสร้างตาราง การทำสไลด์นำเสนอ และการแปลงไฟล์ PDF  
  • รวมถึงเครื่องมือเพิ่มเติม เช่น OCR (การแปลงรูปภาพเป็นข้อความ)  

3. ใช้งานได้หลากหลายแพลตฟอร์ม  
  • รองรับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน รวมถึงการซิงค์ข้อมูลผ่านคลาวด์  

4. ราคาประหยัด 
  • มีเวอร์ชันฟรีที่มีฟีเจอร์เพียงพอสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป  
  • ตัวเลือกพรีเมียมราคาย่อมเยา  

5. แม่แบบเอกสารสำเร็จรูป  
  • มีแม่แบบสำหรับเอกสาร การนำเสนอ และเอกสารอื่น ๆ ช่วยประหยัดเวลาในการออกแบบ  

WPS Office เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการโปรแกรมสำนักงานที่ใช้งานง่ายและรองรับทุกอุปกรณ์  
  • นักเรียน นักศึกษา หรือผู้เริ่มต้นที่มองหาทางเลือกฟรีหรือราคาประหยัด  
  • ผู้ที่ต้องการใช้งานโปรแกรมที่ไม่กินทรัพยากรเครื่องมาก  


บทสรุป WPS Office เป็นชุดโปรแกรมสำนักงานที่ใช้งานง่าย รองรับไฟล์ Word, Excel, PowerPoint และ PDF พร้อมฟีเจอร์หลากหลาย เช่น การแปลงและบีบอัด PDF, OCR และแม่แบบสำเร็จรูป 

ใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ซิงค์ข้อมูลผ่านคลาวด์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน รองรับไฟล์ Microsoft Office อย่างราบรื่น มีเวอร์ชันฟรีและพรีเมียมราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการโปรแกรมสำนักงานที่ครบเครื่องและคุ้มค่า!