The Most/Recent Articles

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Website แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Website แสดงบทความทั้งหมด

Blogger กับ Google Sites เหมือนหรือต่างกัน

Blogger vs Google Sites

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การสร้างเว็บไซต์กลายเป็นสิ่งสำคัญทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กรที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือนำเสนอผลงาน โดยเครื่องมือฟรีที่ได้รับความนิยมจาก Google 

Progressive Web App (PWA)

website PWA

ในยุคดิจิทัลที่สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์พกพากลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้งานคาดหวังประสบการณ์ที่รวดเร็ว ราบรื่น และตอบสนองได้ทันที ไม่ว่าจะใช้งานผ่านแอปหรือเว็บไซต์ 

Website และ Web App เหมือนหรือต่างกัน

Web Application

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน คำว่า “Website” และ “Web Application” หรือ “Web App” มักถูกพูดถึงควบคู่กันอยู่เสมอ บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

วิธีเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ด้วย CDN ฟรี

CDN
ในยุคปัจจุบัน ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต มีความคาดหวังว่าจะเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว ไซต์ที่โหลดข้อมูลช้าแม้เพียงไม่กี่วินาที ก็อาจสูญเสียผู้เข้าชมและโอกาสทางธุรกิจได้ 

วิธีทดสอบเว็บไซต์ถูกบล็อกหรือไม่

Dotcom-tools

การทดสอบว่าเว็บไซต์ของเราสามารถเข้าถึงได้จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจและบริการมีการขยายตัวสู่ตลาดสากล 

วิธีดึงข้อมูลบนเว็บ เข้าสู่ Microsoft Outlook

RSS Feed

ในยุคที่ข้อมูลไหลเวียนรวดเร็ว การติดตามข่าวสารหรือบทความจากเว็บไซต์โปรดอาจทำให้ผู้ใช้งานพลาดเนื้อหาสำคัญ RSS Feed จึงกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เราไม่พลาดทุกการอัปเดต 

SSL คืออะไร?

SSL website
วิธีเพิ่มความปลอดภัยและสร้างความน่าเชื่อถือบนเว็บ

การใช้งาน SSL (Secure Sockets Layer) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ในยุคดิจิทัล SSL ช่วยเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างผู้ใช้งานและเซิร์ฟเวอร์ 

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการชำระเงิน เพื่อป้องกันการถูกดักจับหรือขโมยข้อมูล นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน เนื่องจากเว็บไซต์ที่มี SSL จะมีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจบนแถบที่อยู่ (URL) และใช้โปรโตคอล HTTPS ซึ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO และความน่าเชื่อถือของธุรกิจออนไลน์อีกด้วย  


SSL คืออะไร?  

SSL (Secure Sockets Layer) เป็นโปรโตคอลสำหรับการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยจากการโจมตี เช่น การดักฟัง (eavesdropping) หรือการโจมตีแบบ man-in-the-middle (MITM) ปัจจุบัน SSL ได้พัฒนาต่อมาเป็น TLS (Transport Layer Security) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มีความปลอดภัยมากกว่า  


ประเภทของ SSL  

1. Domain Validation (DV)
  • รับรองความถูกต้องของโดเมนเท่านั้น  
  • ใช้เวลาออกใบรับรองรวดเร็ว  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป เช่น บล็อก หรือเว็บไซต์ส่วนตัว  

2. Organization Validation (OV) 
  • ตรวจสอบข้อมูลขององค์กร เช่น ชื่อบริษัท และที่อยู่  
  • ให้ความปลอดภัยระดับกลาง  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง  

3. Extended Validation (EV)
  • ตรวจสอบองค์กรอย่างละเอียด เช่น ใบอนุญาตธุรกิจ  
  • แสดงชื่อองค์กรบนแถบที่อยู่ (Browser Address Bar)  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดใหญ่หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ  

4. Wildcard SSL
  • ป้องกันหลายซับโดเมนของโดเมนหลัก (e.g., `*.example.com`)  
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างหลายซับโดเมน  

5. Multi-Domain SSL 
  • ป้องกันหลายโดเมนในใบรับรองเดียว (e.g., `example.com`, `example.net`)  
  • เหมาะสำหรับองค์กรที่มีหลายเว็บไซต์  

วิธีการเลือกซื้อ SSL ให้เหมาะสม  

1. ประเมินลักษณะการใช้งานเว็บไซต์  
  • หากเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือบล็อก → ใช้ DV SSL  
  • หากเป็นเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง → ใช้ OV SSL  
  • หากเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือองค์กรขนาดใหญ่ → ใช้ EV SSL  

2. เลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ  
  • ตรวจสอบรีวิวและการรับรองจาก CA (Certificate Authority) เช่น DigiCert, GlobalSign, Let's Encrypt  

3. ความสะดวกในการติดตั้ง  
  • เลือกผู้ให้บริการที่มีคู่มือการติดตั้งหรือตัวช่วยที่ง่ายต่อการใช้งาน  

4. ราคาและการสนับสนุน  
  • เปรียบเทียบราคากับฟีเจอร์ เช่น การป้องกันหลายโดเมนหรือซับโดเมน  
  • เลือกผู้ให้บริการที่มีทีมสนับสนุน 24/7  


ตัวอย่างการเลือกใช้ SSL  
  • เว็บไซต์บล็อกส่วนตัว: เลือกใช้ Let's Encrypt (ฟรี SSL)  
  • เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์: เลือกใช้ OV SSL หรือ EV SSL จาก DigiCert  
  • เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่: เลือก Multi-Domain SSL เพื่อครอบคลุมหลายโดเมน  

การใช้งาน SSL ไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ แต่ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์และสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ใช้งาน ทำให้การเลือกใช้ SSL ที่เหมาะสมถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ.

มาเช็คคะแนนเว็บไซต์กัน

DA Score
เว็บไซต์ไหน คุณภาพดี เช็คได้จากคะแนน DA

DA Score (Domain Authority Score) คือคะแนนที่ใช้ประเมินความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของเว็บไซต์ในสายตาเครื่องมือค้นหา (Search Engines) เช่น Google ซึ่งพัฒนาโดย Moz เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ SEO (Search Engine Optimization) ของเว็บไซต์ คะแนนนี้อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 โดยค่าที่สูงขึ้นหมายถึงเว็บไซต์มีศักยภาพที่ดีในการจัดอันดับในผลการค้นหา


DA Score เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์อย่างไร

1. ตัวบ่งชี้ความน่าเชื่อถือ  
  • DA Score ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ทราบว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือเพียงใดในสายตาเครื่องมือค้นหา เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
2. การจัดอันดับในผลการค้นหา  
  • เว็บไซต์ที่มี DA Score สูงมักมีโอกาสปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา
3. การประเมินการแข่งขัน  
  • ใช้เปรียบเทียบกับเว็บไซต์คู่แข่งเพื่อวางกลยุทธ์ SEO


วิธีการตรวจสอบ DA Score

1. เครื่องมือจาก Moz  
  • เข้าไปที่ Moz Link
  • ป้อน URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการตรวจสอบ  
  • เครื่องมือจะแสดงคะแนน DA พร้อมข้อมูลอื่น ๆ เช่นจำนวน Backlinks
2. เครื่องมืออื่นที่ช่วยตรวจสอบ DA Score
  • Ahrefs
  • SEMrush
  • Ubersuggest

วิธีการปรับปรุง DA Score

1. สร้าง Backlinks คุณภาพ  
  • เน้นสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มี DA Score สูงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
2. ปรับปรุงเนื้อหา  
  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตรงกับความสนใจของผู้ใช้งาน และตอบโจทย์คำค้นหา
  • ใช้คำหลัก (Keywords) อย่างเหมาะสม
3. ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์  
  • เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed)  
  • ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly)
  • ใช้โครงสร้าง URL ที่เข้าใจง่าย
4. แก้ไขลิงก์เสีย (Broken Links)  
  • ตรวจสอบลิงก์ภายในและภายนอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดข้อผิดพลาด
5. เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์  
  • ใช้โซเชียลมีเดียในการกระจายเนื้อหา
  • สร้างการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเดียวกัน

DA vs PA Score

DA Score (Domain Authority) และ PA Score (Page Authority) เป็นคะแนนที่พัฒนาโดย Moz เพื่อใช้ประเมินศักยภาพของเว็บไซต์ในด้าน SEO และการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา โดยทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกัน แต่แตกต่างกันในลักษณะการประเมินดังนี้:

ความแตกต่างระหว่าง DA Score และ PA Score

Domain Authority (DA) คือ DA Score เป็นการประเมิน ศักยภาพของทั้งโดเมนเว็บไซต์ (เช่น example.com) รวมถึงทุกหน้าเพจในโดเมนนั้น โดยมี วัตถุประสงค์ คือ ใช้ดูความแข็งแกร่งโดยรวมของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา

ปัจจัยสำคัญ:
  • จำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้มายังโดเมน
  • อายุของโดเมน
  • ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์โดยรวม
Page Authority (PA) คือ PA Score เป็นการประเมิน ศักยภาพของหน้าเว็บเพจเฉพาะหน้า (เช่น example.com/page1) ในการจัดอันดับในผลการค้นหา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ใช้ดูว่าหน้าเว็บเฉพาะหน้ามีความแข็งแกร่งแค่ไหน

ปัจจัยสำคัญ:
  • จำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้มายังเพจเฉพาะ
  • เนื้อหาในหน้านั้น
  • การใช้งานคำหลัก (Keywords)

บทสรุป DA Score เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ในด้าน SEO การปรับปรุงคะแนนนี้ต้องอาศัยการทำงานอย่างต่อเนื่องในหลายด้านเพื่อให้เว็บไซต์มีศักยภาพที่ดีในการแข่งขันและติดอันดับในเครื่องมือค้นหา

การทำ SEO ในยุคของ AI

SEO Ai

ในยุคดิจิทัลที่การค้นหาข้อมูลออนไลน์ กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน ส่วน SEO (Search Engine Optimization) ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เว็บไซต์สามารถปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา 

ดังนั้น SEO จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกประเภทไม่ควรมองข้าม การแข่งขันเพื่อให้ได้พื้นที่ในหน้าแรกของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ เป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ในปัจจุบัน AI (Artificial Intelligence) ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น 

ไม่ว่าจะเป็น ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหาคำหลักที่เหมาะสม, สร้างเนื้อหาคุณภาพ, และประเมินผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ธุรกิจ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น SEO และ AI จึงเป็นส่วนผสมสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

การทำ SEO ในยุคของ AI ควรปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่สามารถช่วยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะ AI ที่สามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล, สร้างเนื้อหา, และเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิผล ดังนี้


แนวทางการทำ SEO ในยุคของ AI


1. การใช้ AI ในการสร้างเนื้อหา  
  • AI สามารถช่วยสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยการใช้เครื่องมือที่สามารถสร้างบทความ, บล็อกโพสต์ หรือคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ต้องการได้ ซึ่งทำให้การสร้างเนื้อหามีความเร็วและความถูกต้อง

2. การใช้ AI ในการวิเคราะห์และค้นหาคำหลัก  
  • AI สามารถช่วยในการค้นหาคำหลักที่มีความสำคัญและมีโอกาสในการแข่งขันต่ำ ซึ่งช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์ SEO ให้เข้ากับความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้ใช้

3. การตรวจสอบการใช้งานและการประเมินผล  
  • AI ช่วยให้การตรวจสอบผลลัพธ์จากการทำ SEO เช่น การตรวจสอบอันดับของเว็บไซต์, จำนวนการคลิก (CTR), หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกมากขึ้น


 AI อะไร ช่วยในการทำ SEO

1. Surfer SEO  
  • เครื่องมือที่ช่วยให้การวิเคราะห์คำหลัก, การตรวจสอบเนื้อหา, และการทำ SEO ภายในเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย โดย AI จะช่วยให้การตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหากับคำหลักและอันดับในผลการค้นหา
  • URL: https://surferseo.com/ai/

2. Frase.io  
  • Frase ช่วยในการวิเคราะห์คำถามจากผู้ใช้งานและสร้างเนื้อหาที่ตรงกับคำถามเหล่านั้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
  • URL: https://www.frase.io

3. Jarvis (หรือ Jasper)  
  • เครื่องมือ AI สำหรับการสร้างเนื้อหา สามารถใช้ในการเขียนบทความและเนื้อหาต่างๆ โดยอิงตามคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ ซึ่งช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น
  • URL: https://www.jasper.ai

4. MarketMuse  
  • เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสร้างกลยุทธ์เนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูลการทำ SEO โดยจะให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาเนื้อหาและการใช้คำหลักที่เหมาะสม
  • URL: https://www.marketmuse.com

5. Google RankBrain  
  • ระบบ AI ของ Google ที่ช่วยในการปรับแต่งและพัฒนาอันดับการค้นหาตามพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้ค้นหามากที่สุด

การนำ AI มาใช้ในการทำ SEO จะช่วยลดเวลาในการทำงานและเพิ่มความแม่นยำในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ซึ่งสามารถทำให้การทำ SEO เป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

ปรับปรุงเว็บด้วย Google Search Console

Google Search Console

ถ้าคุณมีเว็บ การปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือ และอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google 

รู้ทัน URL ปลอม ก่อนตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์

URL
คลิกลิงก์ผิด ชีวิตเปลี่ยน !!   

ในยุคดิจิทัลที่การใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การคลิกลิงก์หรือ URL (Uniform Resource Locator) กลายเป็นกิจกรรมที่เราทำอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการคลิกลิงก์ปลอมที่มุ่งหวังขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร หรือข้อมูลบัตรเครดิต กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง URL ปลอมมักถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงให้ผู้ใช้งานเชื่อว่าเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคารหรือร้านค้าออนไลน์ 

เพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามเหล่านี้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการตรวจสอบ URL อย่างถูกต้อง เช่น การตรวจสอบโดเมนหลัก การใช้โปรโตคอลที่ปลอดภัย และการระมัดระวังลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เราปกป้องข้อมูลสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีจากภัยคุกคามออนไลน์


URL คืออะไร  

URL (Uniform Resource Locator) คือที่อยู่ที่ใช้ระบุแหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์ ไฟล์ หรือบริการออนไลน์ โดย URL ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ได้แก่  
  • โปรโตคอล (Protocol): เช่น `http://` หรือ `https://` เพื่อระบุวิธีการเชื่อมต่อ  
  • โดเมน (Domain): เช่น `www.example.com` ที่เป็นชื่อเว็บไซต์  
  • เส้นทาง (Path): ระบุตำแหน่งไฟล์หรือหน้าที่ต้องการ เช่น `/about`  
  • พารามิเตอร์ (Parameters): ใช้ส่งข้อมูลเพิ่มเติม เช่น `?id=123`  

ตัวอย่าง URL:  
`https://www.example.com/products?id=123`  


6 วิธีตรวจสอบ URL ปลอม  

1. ตรวจสอบโดเมนหลัก (Main Domain)  
  • โดเมนหลักอยู่ก่อน ".com" ".org" ".net" เป็นต้น เช่น `example.com`  
  • ระวังโดเมนที่ดูคล้ายกัน เช่น `examp1e.com` (ใช้เลข 1 แทนตัว l)  

2. ตรวจสอบโปรโตคอล (Protocol)  
  • ใช้ `https://` ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ปลอดภัย (มีแม่กุญแจปรากฏบนแถบที่อยู่)  
  • แต่โปรโตคอล `https://` อาจถูกปลอมแปลงได้ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม  

3. ตรวจสอบ URL ยาวผิดปกติ  
  • URL ที่มีพารามิเตอร์ยาวหรือมีตัวอักษรสุ่มจำนวนมาก เช่น `https://example.com/xyz/abcd?token=12345abcdefg` อาจเป็นสัญญาณว่าปลอม  

4. ดูว่ามาจากแหล่งที่เชื่อถือได้หรือไม่  
  • หาก URL มาจากอีเมล SMS หรือโฆษณา ต้องพิจารณาว่าแหล่งที่มาน่าเชื่อถือหรือไม่  

5. ใช้เครื่องมือตรวจสอบลิงก์  
  • ใช้เว็บไซต์หรือบริการ เช่น [Google Safe Browsing](https://transparencyreport.google.com/safe-browsing/search) หรือ [VirusTotal](https://www.virustotal.com)  

6. หลีกเลี่ยงการคลิกจากลิงก์ที่น่าสงสัย  
  • หากไม่แน่ใจ ให้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์เองในเบราว์เซอร์แทน  


ตัวอย่างการตรวจสอบ URL  

  • URL ปลอม: `https://www.paypa1.com/login` (ใช้เลข 1 แทนตัว l)  
  • URL จริง: `https://www.paypal.com/login`  

ข้อควรระวัง  
  • อย่าใส่ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงินในเว็บไซต์ที่ไม่แน่ใจ  
  • ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อช่วยแจ้งเตือน URL ที่ไม่ปลอดภัย

GitHub คืออะไร?

Software Developer
เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาโปรแกรม  

GitHub เป็นบริการเว็บที่ให้บริการโฮสต์และจัดการโปรเจคที่ใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน Git ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโค้ดในโปรเจคต่าง ๆ GitHub ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น และเก็บประวัติการเปลี่ยนแปลงของโค้ดอย่างมีระเบียบ

GitHub ถูกใช้โดยนักพัฒนาในการจัดเก็บโค้ด เปิดเผยโปรเจคซอร์สโค้ด (Open Source) และทำงานร่วมกันในโปรเจคซอฟต์แวร์ โดยรองรับการสร้าง Repository (ที่เก็บโค้ด) และการทำงานร่วมกันโดยใช้ Branching, Pull Request, และ Issue Tracking

ประโยชน์ของ GitHub

1. การควบคุมเวอร์ชัน (Version Control)
  • GitHub ใช้ระบบ Git ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเก็บประวัติการเปลี่ยนแปลงของไฟล์ได้ ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่ายๆ หากเกิดข้อผิดพลาดหรืออยากเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
2. การทำงานร่วมกัน (Collaboration)
  • GitHub ช่วยให้นักพัฒนาหลายคนสามารถทำงานร่วมกันในโปรเจคเดียวกันได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชนกันของโค้ด เช่น การใช้ Branching เพื่อแยกงานกันทำและใช้ Pull Requests เพื่อนำโค้ดที่เปลี่ยนแปลงไปผสมรวมกับโค้ดหลัก

3. การจัดการโปรเจค (Project Management)
  • GitHub มีเครื่องมือในการติดตามงานและบัก (Issues, Projects, Discussions) ช่วยให้คุณจัดระเบียบการทำงานและติดตามความคืบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. เปิดเผยโปรเจค Open Source
  • GitHub เป็นที่นิยมในการเผยแพร่โค้ดแบบ Open Source ซึ่งให้ทุกคนสามารถเข้าถึง, แก้ไข, และร่วมพัฒนาซอฟต์แวร์ได้

5. การสำรองข้อมูล (Backup)
  • GitHub ช่วยให้โปรเจคของคุณมีความปลอดภัยจากการสูญหายเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์พัง หรือการสูญหายของข้อมูล

6. การติดตามปัญหาหรือข้อบกพร่อง (Issue Tracking)
  • GitHub ช่วยให้คุณสามารถเปิด Issue เพื่อติดตามปัญหาหรือข้อบกพร่องในโปรเจค ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นระบบระเบียบมากขึ้น

วิธีการใช้งาน GitHub

1. การสร้างบัญชี (Sign Up)
  • ไปที่ GitHub และคลิก "Sign up"
  • กรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้ใช้, อีเมล, และรหัสผ่าน
  • เมื่อสมัครสมาชิกเสร็จ คุณสามารถเริ่มใช้ GitHub ได้ทันที
2. การสร้าง Repository
  • ไปที่หน้าโปรไฟล์ของคุณแล้วคลิก "Repositories" จากนั้นคลิก "New" เพื่อสร้าง repository ใหม่
  • กรอกชื่อ repository, คำอธิบาย (optional), และตั้งค่าให้เป็น public หรือ private
  • คลิก "Create repository" เมื่อเสร็จ
3. การเพิ่มไฟล์และโค้ดไปยัง Repository
  • ใช้ Git ในการอัพโหลดโค้ด เปิด Terminal หรือ Command Prompt

อัพโหลดไฟล์ผ่านเว็บไซต์
  • ไปที่หน้า repository ของคุณบน GitHub
  • คลิก "Add file" และเลือก "Upload files"
  • ลากไฟล์ที่ต้องการอัพโหลดขึ้นไป หรือเลือกไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์
  • ใส่ข้อความ commit และกด "Commit changes"

4. การใช้งาน Branch และ Pull Requests
  • Branch ใช้เพื่อแยกการพัฒนาฟีเจอร์หรือแก้บักจากโค้ดหลัก

5. การใช้ Issues เพื่อการติดตาม
  • บนหน้า repository ของคุณ, คุณสามารถเปิด Issue เพื่อระบุปัญหาหรือบักที่พบในโค้ด หรือเพื่อขอให้มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่
  • กดที่ "Issues" บนหน้า repository แล้วคลิก "New issue" เพื่อสร้าง issue ใหม่

6. การใช้งาน Actions (CI/CD)
  • GitHub Actions เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตั้งค่า Continuous Integration/Continuous Deployment (CI/CD) ซึ่งช่วยให้คุณสามารถทดสอบ และดีพลอยโปรเจคโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโค้ด

การใช้งาน GitHub ผ่าน GitHub Desktop

GitHub ยังมีแอปพลิเคชัน GitHub Desktop ที่ทำให้การใช้งาน GitHub ง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดใช้คำสั่งใน Terminal:
  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง GitHub Desktop จาก [GitHub Desktop](https://desktop.github.com/)
  • ใช้งานผ่านอินเตอร์เฟซกราฟิกที่ใช้งานง่ายในการจัดการ repository

GitHub มีข้อจำกัดบางประการที่ผู้ใช้งานควรทราบเพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่นและหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ข้อจำกัดเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ ทั้งในด้านการจัดการไฟล์, การใช้งาน, และการเข้าถึง

1. ข้อจำกัดในด้านขนาดไฟล์ (File Size Limitations)
  • ขนาดไฟล์สูงสุด: GitHub จำกัดขนาดไฟล์สูงสุดที่สามารถอัพโหลดได้ที่ 100 MB ต่อไฟล์ สำหรับไฟล์ที่มีขนาดเกินกว่า 100 MB จะไม่สามารถอัพโหลดผ่าน Git ได้
  • การใช้ Git LFS (Large File Storage): สำหรับไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 100 MB เช่น ไฟล์ภาพ, วิดีโอ, หรือไฟล์โมเดล 3D, GitHub แนะนำให้ใช้ Git LFS (Large File Storage) ซึ่งเป็นบริการเสริมที่ช่วยจัดการกับไฟล์ขนาดใหญ่ แต่จะมีการจำกัดการใช้งานในแผน ฟรี ที่ 1 GB สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลและ 1 GB ต่อเดือนสำหรับการดาวน์โหลด
  • ขนาด Repository: ถึงแม้ GitHub จะไม่ได้จำกัดขนาดของ repository แต่ GitHub แนะนำว่า repository ควรจะมีขนาดไม่เกิน 5 GB โดยไม่ใช้ Git LFS เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการดึงข้อมูลจาก repository

2. ข้อจำกัดในด้านการใช้งาน (Usage Limitations)

การจำกัดการทำงาน (Rate Limiting): GitHub มีการจำกัดการใช้งาน API เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรเกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้:
  • ผู้ใช้ที่ไม่ได้ล็อกอินสามารถเรียกใช้ API ได้สูงสุด 60 ครั้งต่อชั่วโมง
  • ผู้ใช้ที่ล็อกอินสามารถเรียกใช้ API ได้สูงสุด 5,000 ครั้งต่อชั่วโมง
หากเกินขีดจำกัดนี้ คุณจะต้องรอจนกว่าจะรีเซ็ตการจำกัดในชั่วโมงถัดไป

การจำกัด Pull Request: GitHub ไม่ได้กำหนดขีดจำกัดสำหรับจำนวน Pull Requests ที่สามารถสร้างได้ แต่มีข้อจำกัดในการจัดการและตรวจสอบ Pull Request จำนวนมาก ๆ ที่อาจทำให้ระบบช้าลง

3. ข้อจำกัดในด้านการเข้าถึง (Access Limitations)

Private Repositories:
  • ในแผน ฟรี (Free plan), ผู้ใช้สามารถสร้าง private repositories ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่สามารถเพิ่มได้สูงสุด 3 ผู้ร่วมงาน (collaborators) ต่อ repository
  • ในแผน GitHub Pro, Team, หรือ Enterprise ผู้ใช้สามารถเพิ่มผู้ร่วมงานได้มากขึ้น หรือจะมีฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่ยืดหยุ่น
การเข้าถึงสำหรับทีมและองค์กร:
  • GitHub ให้คุณสร้าง GitHub Organization เพื่อจัดการ repository สำหรับทีม โดยสามารถจัดการสิทธิ์การเข้าถึงสำหรับสมาชิกในองค์กรได้อย่างยืดหยุ่นในแผน Team และ Enterprise

4. ข้อจำกัดในด้านการใช้งาน GitHub Actions (CI/CD)

ข้อจำกัดในการใช้งาน GitHub Actions:
  • แผนฟรี: GitHub Actions สำหรับ repository ที่เป็น public จะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งาน แต่สำหรับ repository ที่เป็น private จะมีการจำกัดการใช้งาน โดยมี 2,000 นาที (minutes) ต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ที่ใช้งานใน repository private
  • การเก็บบันทึก (Artifacts): ข้อจำกัดในแง่ของการเก็บผลลัพธ์จากการทำงานของ GitHub Actions (เช่น ข้อมูลบันทึกและไฟล์ผลลัพธ์) จะถูกจำกัดที่ 5 GB ต่อ repository ในแผน ฟรี และ 2,000 MB สำหรับการดาวน์โหลดต่อเดือน

5. ข้อจำกัดในด้านการค้นหา (Search Limitations)
  • การค้นหาโค้ด: GitHub จะจำกัดการค้นหาบางประเภท เช่น การค้นหาโค้ดใน repository ขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก อาจทำให้ค้นหาช้าหรือไม่สามารถค้นหาผ่าน API ได้ในบางกรณี

 6. ข้อจำกัดในด้านการทำงานกับ Large Repositories
  • ขนาดของ repository: GitHub แนะนำให้ repository มีขนาดไม่เกิน 5 GB แต่การใช้ repository ที่มีขนาดใหญ่เกินไปอาจทำให้การทำงานช้าลง หรืออาจต้องใช้ Git LFS ในการจัดการไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งต้องระวังการใช้พื้นที่และข้อจำกัดต่างๆ ที่ GitHub กำหนด

7. ข้อจำกัดในการใช้งาน Free Plan (แผนฟรี)

  • พื้นที่เก็บข้อมูล: ในแผนฟรี, ขนาดการใช้งานของ GitHub Packages (หากใช้งานสำหรับเก็บแพ็คเกจ) จะมีข้อจำกัดที่ 500 MB สำหรับการเก็บไฟล์ใน GitHub Packages
  • การทำงานร่วมกัน: สำหรับ repository private ในแผนฟรีสามารถมีผู้ร่วมงานได้สูงสุด 3 คน เท่านั้น
  • GitHub Actions: ผู้ใช้งานในแผนฟรีจะได้รับ 2,000 นาที ต่อเดือน สำหรับการใช้ GitHub Actions ใน repository ที่เป็น private

สรุปข้อจำกัดหลักของ GitHub:

  • ขนาดไฟล์: 100 MB ต่อไฟล์ (ต้องใช้ Git LFS สำหรับไฟล์ใหญ่กว่า 100 MB)
  • จำนวนการเรียก API: 5,000 ครั้งต่อชั่วโมงสำหรับผู้ใช้ที่ล็อกอิน
  • GitHub Actions: 2,000 นาทีต่อเดือนในแผนฟรีสำหรับ repository ที่เป็น private
  • ผู้ร่วมงานใน repository private: จำกัดที่ 3 คนในแผนฟรี
  • ข้อจำกัดการเก็บข้อมูล: 5 GB สำหรับ repository ขนาดใหญ่, 500 MB สำหรับ GitHub Packages ในแผนฟรี

แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ แต่ GitHub ยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นที่นิยมในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ เนื่องจากมันช่วยจัดการโปรเจคต่าง ๆ ได้อย่างมีระเบียบและง่ายดาย


บทสรุป GitHub เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการพัฒนาและจัดการโปรเจคซอฟต์แวร์ที่ใช้ Git ในการควบคุมเวอร์ชัน ช่วยให้การทำงานร่วมกันสะดวกขึ้น โดยเฉพาะสำหรับโปรเจค Open Source หรือโปรเจคที่มีหลายคนทำงานร่วมกัน GitHub ยังให้เครื่องมือในการติดตามปัญหา, การจัดการโปรเจค, และการดีพลอยโค้ดอัตโนมัติ (CI/CD) ผ่าน GitHub Actions

การเรียนรู้การใช้งาน GitHub เป็นทักษะที่สำคัญในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพราะมันช่วยในการจัดการโปรเจคและการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ

SPF คืออะไร ทำไมคนทำเว็บ คนใช้เมลต้องรู้

Mail Server Security
SPF คืออะไร และเกี่ยวข้องกับโดเมนเนมอย่างไร?

SPF (Sender Policy Framework) เป็นชุดของข้อกำหนดที่ใช้ระบุว่าเซิฟเวอร์ใดได้รับ อนุญาตให้ส่งอีเมลในนามของโดเมน ของคุณ เปรียบเสมือนบัตรประจำตัวสำหรับอีเมลที่ส่งออกจากโดเมนนั้น ๆ โดยจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ TXT record ภายใน DNS (Domain Name System) ของโดเมนนั้น


SPF กับความเชื่อมโยงกับโดเมนเนม

  • การระบุตัวตน: SPF ช่วยให้ผู้รับอีเมลตรวจสอบยืนยันได้ว่าอีเมลที่ได้รับมาจากโดเมนของคุณนั้นเป็นของจริงหรือไม่
  • ป้องกันการปลอมแปลง: เมื่อมีการปลอมแปลงอีเมลโดยใช้ชื่อโดเมนของคุณ SPF จะช่วยตรวจจับและป้องกันไม่ให้อีเมลปลอมเหล่านั้นเข้าถึงกล่องจดหมายของผู้รับ
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เมื่ออีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล ทำให้ผู้รับอีเมลมีความมั่นใจว่าอีเมลนั้นปลอดภัย

ความสำคัญของ SPF เกี่ยวกับ Security

SPF มีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอีเมลและโดเมนของคุณ ดังนี้:

  • ป้องกันการโจมตี: SPF ช่วยป้องกันการโจมตีประเภทต่างๆ เช่น ฟิชชิง (Phishing) สแปม (Spam) และการโจมตีแบบปลอมแปลงอีเมล (Email Spoofing)
  • ปกป้องแบรนด์: การป้องกันการปลอมแปลงอีเมลจะช่วยปกป้องชื่อเสียงและแบรนด์ของคุณ
  • ป้องกันการสูญเสียข้อมูล: การโจมตีทางอีเมลอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ ดังนั้น SPF จึงช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูล
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล: เมื่อผู้รับอีเมลเห็นว่าอีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะมีความเชื่อมั่นในอีเมลของคุณมากขึ้น

ตัวอย่างการตั้งค่า SPF (Sender Policy Framework)

SPF เป็นระบบที่ใช้ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดได้รับอนุญาตให้ส่งอีเมลในนามโดเมนของคุณ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

รูปแบบทั่วไปของ SPF record

v=spf1 include:spf.provider.com ~all
  • v=spf1: ระบุว่านี่คือระเบียน SPF
  • include:spf.provider.com: อ้างอิงไปยังระเบียน SPF ของผู้ให้บริการอีเมลของคุณ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365)
  • ~all: ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าของ all
  • ค่า ~all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ แต่ยังสามารถส่งอีเมลได้ แต่จะถูกทำเครื่องหมายว่าเป็น "soft fail"
  • ค่า -all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และอีเมลจะถูกปฏิเสธ
  • ค่า ?all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกส่งไปยังสถานะ "neutral" ซึ่งหมายความว่าผู้รับอีเมลจะตัดสินใจเอง

บทสรุป SPF เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอีเมลและโดเมนของคุณ การตั้งค่า SPF ที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมล เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล และปกป้องแบรนด์ของคุณ

หากคุณต้องการตั้งค่า SPF สำหรับโดเมนของคุณ ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้ให้บริการโดเมนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอีเมล เพื่อให้ได้การตั้งค่าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับระบบของคุณ


คำแนะนำเพิ่มเติม

นอกจาก SPF แล้ว ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของอีเมล เช่น 
  • DKIM (DomainKeys Identified Mail)
  • DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting & Conformance) 

ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกัน จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการป้องกันการปลอมแปลงอีเมลได้อย่างดี เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอีเมล

ข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์

404 Error code
ข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์ (Website Errors) เป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งค่าผิดพลาดของเซิร์ฟเวอร์ การเขียนโค้ดผิด หรือการขอข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในระบบ 

ซึ่งเมื่อเกิดข้อผิดพลาดจะทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาหรือบริการบนเว็บไซต์ได้ตามปกติ การเข้าใจประเภทของข้อผิดพลาดและวิธีการแก้ไขจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและลดผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 

ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบบ่อย ได้แก่ 404 (หน้าที่ค้นหาหาไม่เจอ) หรือ 500 (ข้อผิดพลาดจากเซิร์ฟเวอร์) ซึ่งการระบุปัญหาและแก้ไขได้อย่างรวดเร็วจะช่วยให้เว็บไซต์กลับมาทำงานได้อย่างปกติ และสามารถให้บริการแก่ผู้ใช้ได้อย่างไม่สะดุด

ข้อผิดพลาด (Error) บนเว็บไซต์ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยซึ่งอาจเกิดจากการตั้งค่าระบบ การเขียนโค้ด หรือการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่ผิดพลาด ปัญหาเหล่านี้มักแสดงเป็นข้อความหรือรหัสสถานะ (HTTP Status Codes) เพื่อช่วยบอกสาเหตุและวิธีแก้ไขเบื้องต้น 


ประเภทของ Error ที่พบบ่อย

1. 4xx Client Error  

เกิดจากปัญหาที่ฝั่งผู้ใช้งาน เช่น การพิมพ์ URL ผิด หรือการร้องขอข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในระบบ  

404 Not Found: หน้าที่ร้องขอไม่มีในเซิร์ฟเวอร์  วิธีแก้ไข
  • ตรวจสอบ URL ที่พิมพ์ให้ถูกต้อง  
  • ใช้เครื่องมือเช่น *Google Search Console* เพื่อตรวจสอบลิงก์เสีย (Broken Links)  
  • ตั้งค่าหน้า 404 แบบกำหนดเองเพื่อแนะนำผู้ใช้งาน  

403 Forbidden:
ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหานั้น  วิธีแก้ไข
  • ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์/โฟลเดอร์ในเซิร์ฟเวอร์  
  • ใช้ `.htaccess` เพื่อตั้งค่าการอนุญาต  

2. 5xx Server Error  

ปัญหาที่เกิดจากเซิร์ฟเวอร์ เช่น การประมวลผลข้อมูลผิดพลาด หรือเซิร์ฟเวอร์ล่ม  

500 Internal Server Error: เกิดจากข้อผิดพลาดในโค้ดหรือเซิร์ฟเวอร์  วิธีแก้ไข  
     - ตรวจสอบไฟล์ error logs ของเซิร์ฟเวอร์  
     - ตรวจสอบโค้ด PHP หรือไฟล์สคริปต์ที่อาจมีข้อผิดพลาด  

502 Bad Gateway:
เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเกตเวย์หรือพร็อกซีได้  วิธีแก้ไข
  • ตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเกตเวย์  
  • รีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์หรือตรวจสอบ DNS  

3. 3xx Redirect Error  

เกิดจากการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect)  

301 Moved Permanently: การเปลี่ยนเส้นทางถาวร  
     วิธีแก้ไข: ตรวจสอบไฟล์ `.htaccess` หรือการตั้งค่าใน CMS  

302 Found (Temporary Redirect):
เปลี่ยนเส้นทางชั่วคราว  
     วิธีแก้ไข: ปรับโค้ดให้เหมาะสมกับการใช้งาน  


4. ปัญหา JavaScript หรือ Frontend Errors  
 
เช่น การโหลดไฟล์ CSS/JS ไม่สำเร็จ หรือโค้ดทำงานผิดพลาด  

Uncaught ReferenceError: การเรียกใช้งานตัวแปรหรือฟังก์ชันที่ไม่ได้ประกาศ  วิธีแก้ไข
  • ตรวจสอบโค้ดใน DevTools ของเบราว์เซอร์  
  • ตรวจสอบไฟล์ที่โหลดไม่สำเร็จ  

วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหา Error บนเว็บไซต์

1. ใช้เครื่องมือ Debugging  
  • ใช้ *Google Chrome DevTools* เพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาดด้าน Frontend  
  • ใช้ *error logs* ของเซิร์ฟเวอร์สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ Backend  

2. ตรวจสอบการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์  
  • ตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์ใน Control Panel  
  • ใช้เครื่องมือ *Pingdom* หรือ *UptimeRobot* เพื่อตรวจสอบการล่มของเซิร์ฟเวอร์  

3. อัปเดตซอฟต์แวร์และปลั๊กอิน  
  • ตรวจสอบให้ CMS, ปลั๊กอิน, และธีมเป็นเวอร์ชันล่าสุด  

4. ทดสอบเว็บไซต์ก่อนเผยแพร่  
  • ใช้ *staging environment* เพื่อทดสอบการเปลี่ยนแปลง  
  • ทดสอบการใช้งานบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์หลากหลาย  

5. เพิ่มระบบสำรองข้อมูล (Backup)  
  • ใช้ระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติเพื่อคืนค่าเว็บไซต์เมื่อเกิดปัญหา  

บทสรุป การเข้าใจและการจัดการข้อผิดพลาด อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน! 

CDN คืออะไร

CDN
คุณอยากได้วิธีทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นหรือไม่  

CDN (Content Delivery Network) เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่ความเร็วและประสบการณ์ของผู้ใช้งานมีความสำคัญสูงสุด หน้าที่หลักของ CDN คือการกระจายเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์หลักไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำให้เวลาในการโหลดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

นอกจากนี้ CDN ยังมีบทบาทในการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ โดยช่วยป้องกันการโจมตี DDoS และลดภาระการทำงานของเซิร์ฟเวอร์หลัก การใช้งาน CDN จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็กหรือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก

ประโยชน์ของ CDN

  • เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ด้วยการส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้ ลดระยะเวลาการดาวน์โหลดและตอบสนองต่อคำขอ

  • ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลัก CDN จัดการทราฟฟิกที่มีมากขึ้นโดยกระจายไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ทำให้เซิร์ฟเวอร์หลักไม่ต้องรับโหลดหนักเกินไป

  • เพิ่มความมั่นคงและปลอดภัย CDN ช่วยป้องกันการโจมตี DDoS โดยการกระจายทราฟฟิกและมีระบบป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ปลอดภัย

  • รองรับผู้ใช้งานทั่วโลก CDN มีเซิร์ฟเวอร์กระจายทั่วโลก ทำให้เว็บไซต์สามารถรองรับผู้ใช้งานจากหลายพื้นที่ได้ดีขึ้น


วิธีการนำ CDN ไปใช้

  • เริ่มต้นด้วย การสมัครบริการ CDN จากผู้ให้บริการ เช่น Cloudflare, AWS CloudFront,  Akamai, Google Cloud CDN หรือ Fastly
  • ทำการตั้งค่าการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของคุณกับ CDN เพื่อให้การรับส่งข้อมูลสามารถกระจายไปยังเซิร์ฟเวอร์ CDN ได้
  • ตรวจสอบการทำงานและทดสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์หลังจากการเชื่อมต่อเสร็จสิ้น.


การเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของผู้ให้บริการ CDN แต่ละราย จะขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจและลักษณะของเว็บไซต์ที่ต้องการใช้งาน นี่คือตัวอย่างการเปรียบเทียบผู้ให้บริการ CDN ยอดนิยม


เปรียบเทียบ Cloud CDN แต่ละค่าย

1. Cloudflare

ข้อดี

  • มีบริการ CDN ฟรี พร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น DDoS Protection
  • ตั้งค่าการใช้งานง่าย และมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานสะดวก
  • มีเซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้การเข้าถึงข้อมูลรวดเร็ว
  • มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น Web Application Firewall (WAF) และ SSL ฟรี

ข้อเสีย

  • ฟีเจอร์ขั้นสูงหรือฟีเจอร์พิเศษในแผนเสียเงินอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
  • การสนับสนุนลูกค้าในแผนฟรีมีจำกัด


2. Amazon CloudFront (AWS)

ข้อดี

  • ความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งการใช้งานได้ตามความต้องการ
  • อินทิเกรตกับบริการอื่น ๆ ของ AWS อย่างดี เช่น S3 และ EC2
  • มีการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (pay-as-you-go) เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกไม่แน่นอน
  • ระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง มีการเข้ารหัสข้อมูลและการจัดการคีย์ความปลอดภัย

ข้อเสีย

  • ระบบค่อนข้างซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ AWS
  • ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นเร็ว หากทราฟฟิกเพิ่มขึ้นมาก


3. Akamai

ข้อดี

  • มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก ทำให้รองรับทราฟฟิกในระดับสูงได้ดี
  • เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
  • ความปลอดภัยสูง มีระบบป้องกัน DDoS และ Web Application Firewall ที่ทันสมัย

ข้อเสีย

  • ราคาสูงเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่
  • การตั้งค่าและการจัดการอาจซับซ้อน และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการปรับแต่ง


4. Google Cloud CDN

ข้อดี

  • อินทิเกรตเข้ากับ Google Cloud Platform (GCP) ได้อย่างดี ทำให้การใช้งานร่วมกับบริการอื่นใน Google ง่าย
  • รองรับ HTTP/2 และ QUIC ซึ่งช่วยให้การโหลดข้อมูลเร็วขึ้น
  • การคิดค่าใช้จ่ายตามปริมาณทราฟฟิก ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกขนาด
  • มีศูนย์ข้อมูลครอบคลุมทั่วโลก

ข้อเสีย

  • ระบบการตั้งค่าอาจซับซ้อนหากไม่มีความรู้ใน Google Cloud มาก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้หากทราฟฟิกสูงมาก โดยเฉพาะในบางภูมิภาค


5. Fastly

ข้อดี

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ CDN ที่มีการปรับแต่งรายละเอียดได้มาก
  • มีการตอบสนองที่รวดเร็วมากเมื่อใช้งานร่วมกับเว็บไซต์ที่เน้นเรื่องความเร็วในการโหลด
  • มีการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี

ข้อเสีย

  • ระบบการใช้งานอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์
  • การสนับสนุนบางอย่างอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม


บทสรุป การเลือกใช้ CDN ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ ความต้องการด้านทราฟฟิก และงบประมาณ หากเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก Cloudflare เป็นตัวเลือกที่ดีด้วยบริการฟรี แต่สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัยสูง Akamai หรือ AWS CloudFront อาจเหมาะสมกว่า

Domain Name คืออะไร

Website Domain Name

อยากมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง ก็ควรจะต้องมี Domain Name เป็นของตนเอง เช่นกัน

คำว่า Domain Name หรือชื่อโดเมน คือที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการระบุและเข้าถึงเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น www.example.com ชื่อโดเมนจะเป็นตัวแทนของ IP address ที่ซับซ้อนและยาวยืด ทำให้ง่ายต่อการจดจำและเข้าถึง 


ชื่อโดเมนประกอบด้วยสองส่วนหลักๆ ได้แก่ 

  • ชื่อหลัก (เช่น "example") 
  • นามสกุลโดเมน (เช่น ".com", ".org", ".net") 


นามสกุลโดเมนบ่งบอกประเภทหรือภูมิภาคของเว็บไซต์ การเลือกชื่อโดเมนที่ดีและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจและองค์กร เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์และภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของผู้ใช้งาน


Domain Name สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท  

1. Top-Level Domain (TLD)

เป็นประเภทที่อยู่ในระดับสูงสุดของชื่อโดเมน มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ ดังนี้:

Generic Top-Level Domains (gTLDs): เป็นโดเมนที่ไม่ได้ระบุเฉพาะประเทศหรือภูมิภาค ตัวอย่างเช่น

  • .com: ใช้ทั่วไปสำหรับการค้าและธุรกิจ
  • .org: สำหรับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
  • .net: เดิมถูกใช้สำหรับเครือข่าย แต่ปัจจุบันใช้ทั่วไป
  • .info: ใช้สำหรับเว็บไซต์ข้อมูล
  • .biz: ใช้สำหรับธุรกิจ

Country Code Top-Level Domains (ccTLDs): เป็นโดเมนที่ระบุถึงประเทศหรือภูมิภาคเฉพาะ โดยมีรหัสประเทศตามมาตรฐาน ISO 3166-1 ตัวอย่างเช่น

  • .th: สำหรับประเทศไทย
  • .us: สำหรับสหรัฐอเมริกา
  • .uk: สำหรับสหราชอาณาจักร
  • .cn: สำหรับประเทศจีน

Sponsored Top-Level Domains (sTLDs): เป็นโดเมนที่ถูกสนับสนุนโดยองค์กรหรือกลุ่มเฉพาะ โดยมีข้อกำหนดเฉพาะในการใช้งาน ตัวอย่างเช่น

  • .edu: สำหรับสถาบันการศึกษา
  • .gov: สำหรับหน่วยงานรัฐบาล
  • .mil: สำหรับหน่วยงานทางทหาร


2. Second-Level Domain

เป็นส่วนที่อยู่ก่อนหน้า TLD เช่น ในชื่อโดเมน "example.com" คำว่า "example" จะถือเป็น Second-Level Domain ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้ใช้งานเลือกเพื่อบ่งบอกถึงธุรกิจหรือบริการ


3. Third-Level Domain

หรือที่เรียกว่า Subdomain เป็นชื่อที่ถูกวางไว้หน้าชื่อโดเมนหลัก ตัวอย่างเช่น "blog.example.com" คำว่า "blog" เป็น Third-Level Domain หรือ Subdomain ที่ใช้บ่งบอกถึงส่วนหนึ่งของเว็บไซต์หลัก


4. New Generic Top-Level Domains (New gTLDs)

โดเมนประเภทใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มความหลากหลาย เช่น

  • .app: สำหรับแอปพลิเคชัน
  • .shop: สำหรับร้านค้าออนไลน์
  • .tech: สำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
  • .online: ใช้ทั่วไปสำหรับการบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นอยู่ในโลกออนไลน์


5. Internationalized Domain Names (IDNs)

โดเมนที่สามารถใช้ตัวอักษรจากภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาอังกฤษได้ เช่น การใช้ตัวอักษรไทย, จีน, อาหรับ ฯลฯ ทำให้สามารถจดจำและใช้งานได้ง่ายขึ้นในประเทศหรือภูมิภาคที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ

แต่ละประเภทของโดเมนมีความสำคัญและประโยชน์เฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งานในการเลือกใช้โดเมนที่เหมาะสมกับธุรกิจหรือบริการของตน


วิธีการเลือกซื้อ Domain Name

  • เลือกชื่อที่จดจำง่าย
    ชื่อที่สั้น กระชับ และสะกดง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้งานจำและเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ซับซ้อนหรือยาวเกินไป

  • ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาเว็บไซต์
    การใช้คำที่สื่อถึงธุรกิจหรือเนื้อหาของเว็บไซต์จะช่วยให้ผู้เข้าชมรู้ได้ทันทีว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับอะไร และยังช่วยในการทำ SEO อีกด้วย

  • เลือกนามสกุลโดเมนที่เหมาะสม
    นามสกุลโดเมนยอดนิยมเช่น .com, .net หรือ .org เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป หากเป็นเว็บไซต์ที่มุ่งเป้าไปยังภูมิภาคเฉพาะควรเลือกนามสกุลโดเมนที่ระบุประเทศเช่น .th (สำหรับประเทศไทย)

  • ตรวจสอบการใช้งานชื่อโดเมน
    ก่อนที่จะลงทะเบียนชื่อโดเมนควรตรวจสอบว่าไม่มีผู้อื่นใช้ชื่อเดียวกันอยู่แล้ว และไม่มีการละเมิดเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิ์ทางปัญญา

  • เลือกผู้ให้บริการจดทะเบียนโดเมนที่น่าเชื่อถือ
    ควรเลือกซื้อโดเมนจากผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ มีบริการที่ดีและการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ


การเลือกชื่อโดเมนที่ดีเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างตัวตนออนไลน์ที่น่าเชื่อถือและดึงดูดผู้เข้าชม โดยต้องคำนึงถึงความง่ายต่อการจำ ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และความพร้อมใช้งานของชื่อที่เลือก

10 ซอฟต์แวร์สำหรับนักออกแบบเว็บไซต์

Web Design
การออกแบบเว็บไซต์ เป็นงานที่ต้องการทักษะหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบกราฟิก การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ (UX/UI) การเขียนโค้ด หรือการทดสอบเว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม จะช่วยให้นักออกแบบเว็บไซต์ สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่ง และมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น 

ในบทความนี้ เราจะพูดถึง 10 ซอฟต์แวร์ที่ควรมีสำหรับนักออกแบบเว็บไซต์ ตั้งแต่เครื่องมือสำหรับการออกแบบกราฟิก เช่น Adobe Photoshop และ Illustrator ไปจนถึงเครื่องมือสำหรับการเขียนโค้ดอย่าง Sublime Text และ Visual Studio Code 

รวมถึงแพลตฟอร์มสำหรับการสร้างโปรโตไทป์อย่าง Figma และ Adobe XD ซอฟต์แวร์เหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์อย่างครบวงจร ทำให้งานของคุณมีคุณภาพและเป็นที่น่าประทับใจ


10 ซอฟต์แวร์สำหรับนักออกแบบเว็บไซต์

1. Adobe Photoshop

ฟีเจอร์หลัก
  • การจัดการและตัดต่อภาพ สามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพได้อย่างละเอียด
  • การทำงานกับเลเยอร์ ใช้เลเยอร์ในการจัดการองค์ประกอบต่างๆ ของภาพ
  • การสร้างกราฟิก ออกแบบปก, ป้ายโฆษณา, และองค์ประกอบกราฟิกสำหรับเว็บไซต์
ประโยชน์ 
  • ช่วยในการสร้างและจัดการกราฟิกที่ใช้ในเว็บไซต์ เช่น ภาพพื้นหลัง, ปุ่ม, และไอคอน

2. Adobe Illustrator

ฟีเจอร์หลัก
  • การสร้างภาพเวกเตอร์ ออกแบบกราฟิกที่สามารถปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพ
  • การสร้างโลโก้และไอคอน เหมาะสำหรับการออกแบบโลโก้และไอคอนที่ชัดเจน
  • เครื่องมือสำหรับการออกแบบตัวอักษรและรูปทรง
ประโยชน์ 
  • สร้างกราฟิกที่มีความคมชัดสูงและเหมาะสำหรับการใช้ในเว็บไซต์ที่ต้องการรายละเอียด

3. Figma

ฟีเจอร์หลัก
  • การออกแบบ UI/UX ออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้และประสบการณ์ผู้ใช้
  • การสร้างโปรโตไทป์ สร้างต้นแบบของเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
  • การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ หลายคนสามารถทำงานร่วมกันบนโปรเจกต์เดียวกันได้
ประโยชน์ 
  • เหมาะสำหรับการออกแบบ UI/UX ที่ต้องการการทำงานร่วมกันของทีมและการสร้างโปรโตไทป์ที่ใช้งานได้

4. Sketch

ฟีเจอร์หลัก
  • การออกแบบ UI/UX เครื่องมือที่เน้นการออกแบบสำหรับเว็บและแอปพลิเคชัน
  • การสร้างสัญลักษณ์ สร้างและจัดการสัญลักษณ์ที่ใช้ซ้ำได้
  • การจัดการกับ Artboards ออกแบบหลายหน้าจอพร้อมกัน
ประโยชน์ 
  • เหมาะสำหรับการออกแบบ UI และการสร้างเลย์เอาต์ที่สามารถนำไปใช้งานได้ทันที

5. Webflow

ฟีเจอร์หลัก
  • การออกแบบเว็บไซต์ สร้างและออกแบบเว็บไซต์โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
  • การสร้างและจัดการ CMS การจัดการเนื้อหาและการออกแบบที่ยืดหยุ่น
  • การเผยแพร่เว็บไซต์ สามารถเผยแพร่เว็บไซต์ได้โดยตรงจากแพลตฟอร์ม
ประโยชน์ 
  • ช่วยในการสร้างเว็บไซต์และโปรเจกต์เว็บอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

6. Sublime Text

ฟีเจอร์หลัก
  • การเขียนโค้ด รองรับการเขียนโค้ด HTML, CSS, และ JavaScript
  • การเน้นโค้ด รองรับการเน้นโค้ดที่มีคุณสมบัติหลายอย่าง
  • การค้นหาและการแทนที่ ค้นหาและแทนที่ข้อความในโค้ดอย่างรวดเร็ว
ประโยชน์ 
  • ใช้ในการเขียนและแก้ไขโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพ

7. Visual Studio Code

ฟีเจอร์หลัก
  • การเขียนโค้ด รองรับหลายภาษาโปรแกรมมิ่งรวมถึง HTML, CSS, JavaScript
  • การดีบัก มีเครื่องมือสำหรับการดีบักโค้ด
  • การทำงานร่วมกับปลั๊กอิน รองรับปลั๊กอินเพื่อเพิ่มฟีเจอร์และการใช้งานที่หลากหลาย
ประโยชน์ 
  • เครื่องมือพัฒนาโค้ดที่มีฟีเจอร์ครบถ้วนและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ

8. InVision

ฟีเจอร์หลัก
  • การสร้างโปรโตไทป์ สร้างและทดสอบโปรโตไทป์ของเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
  • การทำงานร่วมกัน รับข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์จากสมาชิกในทีม
  • การสร้างแนวคิดการออกแบบ ใช้เครื่องมือในการสร้างแนวคิดและการแสดงความคิดเห็น
ประโยชน์ 
  • ช่วยในการสร้างและทดสอบแนวคิดการออกแบบและรวบรวมความคิดเห็นจากทีม

9. Google Chrome DevTools

ฟีเจอร์หลัก
  • การดีบักเว็บไซต์ เครื่องมือสำหรับการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของเว็บไซต์
  • การตรวจสอบและปรับแต่ง CSS แก้ไขและปรับแต่ง CSS แบบเรียลไทม์
  • การวิเคราะห์ประสิทธิภาพ วิเคราะห์ความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์
ประโยชน์ 
  • ช่วยในการพัฒนาและทดสอบเว็บไซต์เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10. Adobe XD

ฟีเจอร์หลัก
  • การออกแบบ UI/UX เครื่องมือสำหรับการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้และประสบการณ์ผู้ใช้
  • การสร้างโปรโตไทป์ สร้างโปรโตไทป์ที่สามารถโต้ตอบได้
  • การทำงานร่วมกัน แชร์และรับข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์
ประโยชน์ 
  • ใช้ในการออกแบบ UI/UX และสร้างโปรโตไทป์ที่ช่วยให้สามารถทดสอบการออกแบบได้ก่อนการพัฒนา

บทสรุป 10 ซอฟต์แวร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบเว็บไซต์และการพัฒนาเว็บไซต์อย่างครบวงจร แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ทุกโปรแกรม แค่เลือกใช้ตามความถนัดและความต้องการ

ทำธุรกิจต้องรู้จัก Google Business Profile

Google Business Profile
Google Business Profile หรือที่รู้จักในชื่อเดิมว่า Google My Business เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นและสร้างความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์ เพียงแค่ลงทะเบียนธุรกิจ

คำศัพท์ GA4 สำหรับอ่านรายงาน

Vocabulary
Google Analytics 4 (GA4) คือเวอร์ชันใหม่ของ Google Analytics ที่ออกแบบมาเพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมีความยืดหยุ่นและครอบคลุมมากขึ้น

Shared Hosting ราคาถูกที่สุด

Web Hosting

เว็บ Hosting คือบริการที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต โดยการเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ เช่น ไฟล์, รูปภาพ, และฐานข้อมูล บนเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต