ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การสร้างเว็บไซต์กลายเป็นสิ่งสำคัญทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กรที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือนำเสนอผลงาน โดยเครื่องมือฟรีที่ได้รับความนิยมจาก Google
The Most/Recent Articles
Progressive Web App (PWA)
Website และ Web App เหมือนหรือต่างกัน
วิธีเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ด้วย CDN ฟรี
วิธีทดสอบเว็บไซต์ถูกบล็อกหรือไม่
การทดสอบว่าเว็บไซต์ของเราสามารถเข้าถึงได้จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจและบริการมีการขยายตัวสู่ตลาดสากล
วิธีดึงข้อมูลบนเว็บ เข้าสู่ Microsoft Outlook
SSL คืออะไร?
การใช้งาน SSL (Secure Sockets Layer) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ในยุคดิจิทัล SSL ช่วยเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างผู้ใช้งานและเซิร์ฟเวอร์
SSL คืออะไร?
ประเภทของ SSL
- รับรองความถูกต้องของโดเมนเท่านั้น
- ใช้เวลาออกใบรับรองรวดเร็ว
- เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป เช่น บล็อก หรือเว็บไซต์ส่วนตัว
- ตรวจสอบข้อมูลขององค์กร เช่น ชื่อบริษัท และที่อยู่
- ให้ความปลอดภัยระดับกลาง
- เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
- ตรวจสอบองค์กรอย่างละเอียด เช่น ใบอนุญาตธุรกิจ
- แสดงชื่อองค์กรบนแถบที่อยู่ (Browser Address Bar)
- เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดใหญ่หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
- ป้องกันหลายซับโดเมนของโดเมนหลัก (e.g., `*.example.com`)
- เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างหลายซับโดเมน
- ป้องกันหลายโดเมนในใบรับรองเดียว (e.g., `example.com`, `example.net`)
- เหมาะสำหรับองค์กรที่มีหลายเว็บไซต์
วิธีการเลือกซื้อ SSL ให้เหมาะสม
- หากเป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือบล็อก → ใช้ DV SSL
- หากเป็นเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง → ใช้ OV SSL
- หากเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือองค์กรขนาดใหญ่ → ใช้ EV SSL
- ตรวจสอบรีวิวและการรับรองจาก CA (Certificate Authority) เช่น DigiCert, GlobalSign, Let's Encrypt
- เลือกผู้ให้บริการที่มีคู่มือการติดตั้งหรือตัวช่วยที่ง่ายต่อการใช้งาน
- เปรียบเทียบราคากับฟีเจอร์ เช่น การป้องกันหลายโดเมนหรือซับโดเมน
- เลือกผู้ให้บริการที่มีทีมสนับสนุน 24/7
- เว็บไซต์บล็อกส่วนตัว: เลือกใช้ Let's Encrypt (ฟรี SSL)
- เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์: เลือกใช้ OV SSL หรือ EV SSL จาก DigiCert
- เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่: เลือก Multi-Domain SSL เพื่อครอบคลุมหลายโดเมน
มาเช็คคะแนนเว็บไซต์กัน
DA Score เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์อย่างไร
- DA Score ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ทราบว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือเพียงใดในสายตาเครื่องมือค้นหา เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
- เว็บไซต์ที่มี DA Score สูงมักมีโอกาสปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา
- ใช้เปรียบเทียบกับเว็บไซต์คู่แข่งเพื่อวางกลยุทธ์ SEO
วิธีการตรวจสอบ DA Score
- เข้าไปที่ Moz Link
- ป้อน URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการตรวจสอบ
- เครื่องมือจะแสดงคะแนน DA พร้อมข้อมูลอื่น ๆ เช่นจำนวน Backlinks
- Ahrefs
- SEMrush
- Ubersuggest
วิธีการปรับปรุง DA Score
- เน้นสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มี DA Score สูงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- หลีกเลี่ยงการใช้ลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตรงกับความสนใจของผู้ใช้งาน และตอบโจทย์คำค้นหา
- ใช้คำหลัก (Keywords) อย่างเหมาะสม
- เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed)
- ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly)
- ใช้โครงสร้าง URL ที่เข้าใจง่าย
- ตรวจสอบลิงก์ภายในและภายนอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดข้อผิดพลาด
- ใช้โซเชียลมีเดียในการกระจายเนื้อหา
- สร้างการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเดียวกัน
DA vs PA Score
ความแตกต่างระหว่าง DA Score และ PA Score
- จำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้มายังโดเมน
- อายุของโดเมน
- ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์โดยรวม
- จำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้มายังเพจเฉพาะ
- เนื้อหาในหน้านั้น
- การใช้งานคำหลัก (Keywords)
การทำ SEO ในยุคของ AI
แนวทางการทำ SEO ในยุคของ AI
- AI สามารถช่วยสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยการใช้เครื่องมือที่สามารถสร้างบทความ, บล็อกโพสต์ หรือคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ต้องการได้ ซึ่งทำให้การสร้างเนื้อหามีความเร็วและความถูกต้อง
- AI สามารถช่วยในการค้นหาคำหลักที่มีความสำคัญและมีโอกาสในการแข่งขันต่ำ ซึ่งช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์ SEO ให้เข้ากับความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้ใช้
- AI ช่วยให้การตรวจสอบผลลัพธ์จากการทำ SEO เช่น การตรวจสอบอันดับของเว็บไซต์, จำนวนการคลิก (CTR), หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกมากขึ้น
AI อะไร ช่วยในการทำ SEO
- เครื่องมือที่ช่วยให้การวิเคราะห์คำหลัก, การตรวจสอบเนื้อหา, และการทำ SEO ภายในเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย โดย AI จะช่วยให้การตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหากับคำหลักและอันดับในผลการค้นหา
- URL: https://surferseo.com/ai/
- Frase ช่วยในการวิเคราะห์คำถามจากผู้ใช้งานและสร้างเนื้อหาที่ตรงกับคำถามเหล่านั้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
- URL: https://www.frase.io
- เครื่องมือ AI สำหรับการสร้างเนื้อหา สามารถใช้ในการเขียนบทความและเนื้อหาต่างๆ โดยอิงตามคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ ซึ่งช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น
- URL: https://www.jasper.ai
- เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการสร้างกลยุทธ์เนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูลการทำ SEO โดยจะให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาเนื้อหาและการใช้คำหลักที่เหมาะสม
- URL: https://www.marketmuse.com
- ระบบ AI ของ Google ที่ช่วยในการปรับแต่งและพัฒนาอันดับการค้นหาตามพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้ค้นหามากที่สุด
ปรับปรุงเว็บด้วย Google Search Console
ถ้าคุณมีเว็บ การปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือ และอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google
รู้ทัน URL ปลอม ก่อนตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์
URL คืออะไร
- โปรโตคอล (Protocol): เช่น `http://` หรือ `https://` เพื่อระบุวิธีการเชื่อมต่อ
- โดเมน (Domain): เช่น `www.example.com` ที่เป็นชื่อเว็บไซต์
- เส้นทาง (Path): ระบุตำแหน่งไฟล์หรือหน้าที่ต้องการ เช่น `/about`
- พารามิเตอร์ (Parameters): ใช้ส่งข้อมูลเพิ่มเติม เช่น `?id=123`
ตัวอย่าง URL: `https://www.example.com/products?id=123`
6 วิธีตรวจสอบ URL ปลอม
- โดเมนหลักอยู่ก่อน ".com" ".org" ".net" เป็นต้น เช่น `example.com`
- ระวังโดเมนที่ดูคล้ายกัน เช่น `examp1e.com` (ใช้เลข 1 แทนตัว l)
- ใช้ `https://` ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ปลอดภัย (มีแม่กุญแจปรากฏบนแถบที่อยู่)
- แต่โปรโตคอล `https://` อาจถูกปลอมแปลงได้ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม
- URL ที่มีพารามิเตอร์ยาวหรือมีตัวอักษรสุ่มจำนวนมาก เช่น `https://example.com/xyz/abcd?token=12345abcdefg` อาจเป็นสัญญาณว่าปลอม
- หาก URL มาจากอีเมล SMS หรือโฆษณา ต้องพิจารณาว่าแหล่งที่มาน่าเชื่อถือหรือไม่
- ใช้เว็บไซต์หรือบริการ เช่น [Google Safe Browsing](https://transparencyreport.google.com/safe-browsing/search) หรือ [VirusTotal](https://www.virustotal.com)
- หากไม่แน่ใจ ให้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์เองในเบราว์เซอร์แทน
ตัวอย่างการตรวจสอบ URL
- URL ปลอม: `https://www.paypa1.com/login` (ใช้เลข 1 แทนตัว l)
- URL จริง: `https://www.paypal.com/login`
ข้อควรระวัง
- อย่าใส่ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงินในเว็บไซต์ที่ไม่แน่ใจ
- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อช่วยแจ้งเตือน URL ที่ไม่ปลอดภัย
GitHub คืออะไร?
ประโยชน์ของ GitHub
- GitHub ใช้ระบบ Git ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเก็บประวัติการเปลี่ยนแปลงของไฟล์ได้ ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่ายๆ หากเกิดข้อผิดพลาดหรืออยากเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
- GitHub ช่วยให้นักพัฒนาหลายคนสามารถทำงานร่วมกันในโปรเจคเดียวกันได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชนกันของโค้ด เช่น การใช้ Branching เพื่อแยกงานกันทำและใช้ Pull Requests เพื่อนำโค้ดที่เปลี่ยนแปลงไปผสมรวมกับโค้ดหลัก
- GitHub มีเครื่องมือในการติดตามงานและบัก (Issues, Projects, Discussions) ช่วยให้คุณจัดระเบียบการทำงานและติดตามความคืบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- GitHub เป็นที่นิยมในการเผยแพร่โค้ดแบบ Open Source ซึ่งให้ทุกคนสามารถเข้าถึง, แก้ไข, และร่วมพัฒนาซอฟต์แวร์ได้
- GitHub ช่วยให้โปรเจคของคุณมีความปลอดภัยจากการสูญหายเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์พัง หรือการสูญหายของข้อมูล
- GitHub ช่วยให้คุณสามารถเปิด Issue เพื่อติดตามปัญหาหรือข้อบกพร่องในโปรเจค ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นระบบระเบียบมากขึ้น
วิธีการใช้งาน GitHub
- ไปที่ GitHub และคลิก "Sign up"
- กรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้ใช้, อีเมล, และรหัสผ่าน
- เมื่อสมัครสมาชิกเสร็จ คุณสามารถเริ่มใช้ GitHub ได้ทันที
- ไปที่หน้าโปรไฟล์ของคุณแล้วคลิก "Repositories" จากนั้นคลิก "New" เพื่อสร้าง repository ใหม่
- กรอกชื่อ repository, คำอธิบาย (optional), และตั้งค่าให้เป็น public หรือ private
- คลิก "Create repository" เมื่อเสร็จ
- ใช้ Git ในการอัพโหลดโค้ด เปิด Terminal หรือ Command Prompt
- ไปที่หน้า repository ของคุณบน GitHub
- คลิก "Add file" และเลือก "Upload files"
- ลากไฟล์ที่ต้องการอัพโหลดขึ้นไป หรือเลือกไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์
- ใส่ข้อความ commit และกด "Commit changes"
- Branch ใช้เพื่อแยกการพัฒนาฟีเจอร์หรือแก้บักจากโค้ดหลัก
- บนหน้า repository ของคุณ, คุณสามารถเปิด Issue เพื่อระบุปัญหาหรือบักที่พบในโค้ด หรือเพื่อขอให้มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่
- กดที่ "Issues" บนหน้า repository แล้วคลิก "New issue" เพื่อสร้าง issue ใหม่
- GitHub Actions เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตั้งค่า Continuous Integration/Continuous Deployment (CI/CD) ซึ่งช่วยให้คุณสามารถทดสอบ และดีพลอยโปรเจคโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโค้ด
การใช้งาน GitHub ผ่าน GitHub Desktop
- ดาวน์โหลดและติดตั้ง GitHub Desktop จาก [GitHub Desktop](https://desktop.github.com/)
- ใช้งานผ่านอินเตอร์เฟซกราฟิกที่ใช้งานง่ายในการจัดการ repository
- ขนาดไฟล์สูงสุด: GitHub จำกัดขนาดไฟล์สูงสุดที่สามารถอัพโหลดได้ที่ 100 MB ต่อไฟล์ สำหรับไฟล์ที่มีขนาดเกินกว่า 100 MB จะไม่สามารถอัพโหลดผ่าน Git ได้
- การใช้ Git LFS (Large File Storage): สำหรับไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 100 MB เช่น ไฟล์ภาพ, วิดีโอ, หรือไฟล์โมเดล 3D, GitHub แนะนำให้ใช้ Git LFS (Large File Storage) ซึ่งเป็นบริการเสริมที่ช่วยจัดการกับไฟล์ขนาดใหญ่ แต่จะมีการจำกัดการใช้งานในแผน ฟรี ที่ 1 GB สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลและ 1 GB ต่อเดือนสำหรับการดาวน์โหลด
- ขนาด Repository: ถึงแม้ GitHub จะไม่ได้จำกัดขนาดของ repository แต่ GitHub แนะนำว่า repository ควรจะมีขนาดไม่เกิน 5 GB โดยไม่ใช้ Git LFS เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการดึงข้อมูลจาก repository
- ผู้ใช้ที่ไม่ได้ล็อกอินสามารถเรียกใช้ API ได้สูงสุด 60 ครั้งต่อชั่วโมง
- ผู้ใช้ที่ล็อกอินสามารถเรียกใช้ API ได้สูงสุด 5,000 ครั้งต่อชั่วโมง
- ในแผน ฟรี (Free plan), ผู้ใช้สามารถสร้าง private repositories ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่สามารถเพิ่มได้สูงสุด 3 ผู้ร่วมงาน (collaborators) ต่อ repository
- ในแผน GitHub Pro, Team, หรือ Enterprise ผู้ใช้สามารถเพิ่มผู้ร่วมงานได้มากขึ้น หรือจะมีฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่ยืดหยุ่น
- GitHub ให้คุณสร้าง GitHub Organization เพื่อจัดการ repository สำหรับทีม โดยสามารถจัดการสิทธิ์การเข้าถึงสำหรับสมาชิกในองค์กรได้อย่างยืดหยุ่นในแผน Team และ Enterprise
- แผนฟรี: GitHub Actions สำหรับ repository ที่เป็น public จะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งาน แต่สำหรับ repository ที่เป็น private จะมีการจำกัดการใช้งาน โดยมี 2,000 นาที (minutes) ต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ที่ใช้งานใน repository private
- การเก็บบันทึก (Artifacts): ข้อจำกัดในแง่ของการเก็บผลลัพธ์จากการทำงานของ GitHub Actions (เช่น ข้อมูลบันทึกและไฟล์ผลลัพธ์) จะถูกจำกัดที่ 5 GB ต่อ repository ในแผน ฟรี และ 2,000 MB สำหรับการดาวน์โหลดต่อเดือน
- การค้นหาโค้ด: GitHub จะจำกัดการค้นหาบางประเภท เช่น การค้นหาโค้ดใน repository ขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก อาจทำให้ค้นหาช้าหรือไม่สามารถค้นหาผ่าน API ได้ในบางกรณี
- ขนาดของ repository: GitHub แนะนำให้ repository มีขนาดไม่เกิน 5 GB แต่การใช้ repository ที่มีขนาดใหญ่เกินไปอาจทำให้การทำงานช้าลง หรืออาจต้องใช้ Git LFS ในการจัดการไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งต้องระวังการใช้พื้นที่และข้อจำกัดต่างๆ ที่ GitHub กำหนด
- พื้นที่เก็บข้อมูล: ในแผนฟรี, ขนาดการใช้งานของ GitHub Packages (หากใช้งานสำหรับเก็บแพ็คเกจ) จะมีข้อจำกัดที่ 500 MB สำหรับการเก็บไฟล์ใน GitHub Packages
- การทำงานร่วมกัน: สำหรับ repository private ในแผนฟรีสามารถมีผู้ร่วมงานได้สูงสุด 3 คน เท่านั้น
- GitHub Actions: ผู้ใช้งานในแผนฟรีจะได้รับ 2,000 นาที ต่อเดือน สำหรับการใช้ GitHub Actions ใน repository ที่เป็น private
สรุปข้อจำกัดหลักของ GitHub:
- ขนาดไฟล์: 100 MB ต่อไฟล์ (ต้องใช้ Git LFS สำหรับไฟล์ใหญ่กว่า 100 MB)
- จำนวนการเรียก API: 5,000 ครั้งต่อชั่วโมงสำหรับผู้ใช้ที่ล็อกอิน
- GitHub Actions: 2,000 นาทีต่อเดือนในแผนฟรีสำหรับ repository ที่เป็น private
- ผู้ร่วมงานใน repository private: จำกัดที่ 3 คนในแผนฟรี
- ข้อจำกัดการเก็บข้อมูล: 5 GB สำหรับ repository ขนาดใหญ่, 500 MB สำหรับ GitHub Packages ในแผนฟรี
SPF คืออะไร ทำไมคนทำเว็บ คนใช้เมลต้องรู้
SPF กับความเชื่อมโยงกับโดเมนเนม
- การระบุตัวตน: SPF ช่วยให้ผู้รับอีเมลตรวจสอบยืนยันได้ว่าอีเมลที่ได้รับมาจากโดเมนของคุณนั้นเป็นของจริงหรือไม่
- ป้องกันการปลอมแปลง: เมื่อมีการปลอมแปลงอีเมลโดยใช้ชื่อโดเมนของคุณ SPF จะช่วยตรวจจับและป้องกันไม่ให้อีเมลปลอมเหล่านั้นเข้าถึงกล่องจดหมายของผู้รับ
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เมื่ออีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล ทำให้ผู้รับอีเมลมีความมั่นใจว่าอีเมลนั้นปลอดภัย
ความสำคัญของ SPF เกี่ยวกับ Security
- ป้องกันการโจมตี: SPF ช่วยป้องกันการโจมตีประเภทต่างๆ เช่น ฟิชชิง (Phishing) สแปม (Spam) และการโจมตีแบบปลอมแปลงอีเมล (Email Spoofing)
- ปกป้องแบรนด์: การป้องกันการปลอมแปลงอีเมลจะช่วยปกป้องชื่อเสียงและแบรนด์ของคุณ
- ป้องกันการสูญเสียข้อมูล: การโจมตีทางอีเมลอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ ดังนั้น SPF จึงช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูล
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล: เมื่อผู้รับอีเมลเห็นว่าอีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะมีความเชื่อมั่นในอีเมลของคุณมากขึ้น
ตัวอย่างการตั้งค่า SPF (Sender Policy Framework)
- v=spf1: ระบุว่านี่คือระเบียน SPF
- include:spf.provider.com: อ้างอิงไปยังระเบียน SPF ของผู้ให้บริการอีเมลของคุณ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365)
- ~all: ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ
- ค่า ~all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ แต่ยังสามารถส่งอีเมลได้ แต่จะถูกทำเครื่องหมายว่าเป็น "soft fail"
- ค่า -all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และอีเมลจะถูกปฏิเสธ
- ค่า ?all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกส่งไปยังสถานะ "neutral" ซึ่งหมายความว่าผู้รับอีเมลจะตัดสินใจเอง
- DKIM (DomainKeys Identified Mail)
- DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting & Conformance)
ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกัน จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการป้องกันการปลอมแปลงอีเมลได้อย่างดี เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอีเมล
ข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์
ประเภทของ Error ที่พบบ่อย
เกิดจากปัญหาที่ฝั่งผู้ใช้งาน เช่น การพิมพ์ URL ผิด หรือการร้องขอข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในระบบ
- ตรวจสอบ URL ที่พิมพ์ให้ถูกต้อง
- ใช้เครื่องมือเช่น *Google Search Console* เพื่อตรวจสอบลิงก์เสีย (Broken Links)
- ตั้งค่าหน้า 404 แบบกำหนดเองเพื่อแนะนำผู้ใช้งาน
403 Forbidden: ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหานั้น วิธีแก้ไข
- ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์/โฟลเดอร์ในเซิร์ฟเวอร์
- ใช้ `.htaccess` เพื่อตั้งค่าการอนุญาต
ปัญหาที่เกิดจากเซิร์ฟเวอร์ เช่น การประมวลผลข้อมูลผิดพลาด หรือเซิร์ฟเวอร์ล่ม
500 Internal Server Error: เกิดจากข้อผิดพลาดในโค้ดหรือเซิร์ฟเวอร์ วิธีแก้ไข
502 Bad Gateway: เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเกตเวย์หรือพร็อกซีได้ วิธีแก้ไข
- ตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเกตเวย์
- รีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์หรือตรวจสอบ DNS
เกิดจากการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect)
301 Moved Permanently: การเปลี่ยนเส้นทางถาวร
302 Found (Temporary Redirect): เปลี่ยนเส้นทางชั่วคราว
4. ปัญหา JavaScript หรือ Frontend Errors
เช่น การโหลดไฟล์ CSS/JS ไม่สำเร็จ หรือโค้ดทำงานผิดพลาด
Uncaught ReferenceError: การเรียกใช้งานตัวแปรหรือฟังก์ชันที่ไม่ได้ประกาศ วิธีแก้ไข
- ตรวจสอบโค้ดใน DevTools ของเบราว์เซอร์
- ตรวจสอบไฟล์ที่โหลดไม่สำเร็จ
วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหา Error บนเว็บไซต์
- ใช้ *Google Chrome DevTools* เพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาดด้าน Frontend
- ใช้ *error logs* ของเซิร์ฟเวอร์สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ Backend
- ตรวจสอบสถานะเซิร์ฟเวอร์ใน Control Panel
- ใช้เครื่องมือ *Pingdom* หรือ *UptimeRobot* เพื่อตรวจสอบการล่มของเซิร์ฟเวอร์
- ตรวจสอบให้ CMS, ปลั๊กอิน, และธีมเป็นเวอร์ชันล่าสุด
- ใช้ *staging environment* เพื่อทดสอบการเปลี่ยนแปลง
- ทดสอบการใช้งานบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์หลากหลาย
- ใช้ระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติเพื่อคืนค่าเว็บไซต์เมื่อเกิดปัญหา
CDN คืออะไร
CDN (Content Delivery Network) เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่ความเร็วและประสบการณ์ของผู้ใช้งานมีความสำคัญสูงสุด หน้าที่หลักของ CDN คือการกระจายเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์หลักไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำให้เวลาในการโหลดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ CDN ยังมีบทบาทในการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ โดยช่วยป้องกันการโจมตี DDoS และลดภาระการทำงานของเซิร์ฟเวอร์หลัก การใช้งาน CDN จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็กหรือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก
ประโยชน์ของ CDN
- เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ด้วยการส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้ ลดระยะเวลาการดาวน์โหลดและตอบสนองต่อคำขอ
- ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลัก CDN จัดการทราฟฟิกที่มีมากขึ้นโดยกระจายไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ทำให้เซิร์ฟเวอร์หลักไม่ต้องรับโหลดหนักเกินไป
- เพิ่มความมั่นคงและปลอดภัย CDN ช่วยป้องกันการโจมตี DDoS โดยการกระจายทราฟฟิกและมีระบบป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ปลอดภัย
- รองรับผู้ใช้งานทั่วโลก CDN มีเซิร์ฟเวอร์กระจายทั่วโลก ทำให้เว็บไซต์สามารถรองรับผู้ใช้งานจากหลายพื้นที่ได้ดีขึ้น
วิธีการนำ CDN ไปใช้
- เริ่มต้นด้วย การสมัครบริการ CDN จากผู้ให้บริการ เช่น Cloudflare, AWS CloudFront, Akamai, Google Cloud CDN หรือ Fastly
- ทำการตั้งค่าการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของคุณกับ CDN เพื่อให้การรับส่งข้อมูลสามารถกระจายไปยังเซิร์ฟเวอร์ CDN ได้
- ตรวจสอบการทำงานและทดสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์หลังจากการเชื่อมต่อเสร็จสิ้น.
การเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของผู้ให้บริการ CDN แต่ละราย จะขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจและลักษณะของเว็บไซต์ที่ต้องการใช้งาน นี่คือตัวอย่างการเปรียบเทียบผู้ให้บริการ CDN ยอดนิยม
เปรียบเทียบ Cloud CDN แต่ละค่าย
1. Cloudflare
ข้อดี
- มีบริการ CDN ฟรี พร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น DDoS Protection
- ตั้งค่าการใช้งานง่าย และมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานสะดวก
- มีเซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้การเข้าถึงข้อมูลรวดเร็ว
- มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น Web Application Firewall (WAF) และ SSL ฟรี
ข้อเสีย
- ฟีเจอร์ขั้นสูงหรือฟีเจอร์พิเศษในแผนเสียเงินอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
- การสนับสนุนลูกค้าในแผนฟรีมีจำกัด
2. Amazon CloudFront (AWS)
ข้อดี
- ความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งการใช้งานได้ตามความต้องการ
- อินทิเกรตกับบริการอื่น ๆ ของ AWS อย่างดี เช่น S3 และ EC2
- มีการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (pay-as-you-go) เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกไม่แน่นอน
- ระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง มีการเข้ารหัสข้อมูลและการจัดการคีย์ความปลอดภัย
ข้อเสีย
- ระบบค่อนข้างซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ AWS
- ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นเร็ว หากทราฟฟิกเพิ่มขึ้นมาก
3. Akamai
ข้อดี
- มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก ทำให้รองรับทราฟฟิกในระดับสูงได้ดี
- เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
- ความปลอดภัยสูง มีระบบป้องกัน DDoS และ Web Application Firewall ที่ทันสมัย
ข้อเสีย
- ราคาสูงเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่
- การตั้งค่าและการจัดการอาจซับซ้อน และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการปรับแต่ง
4. Google Cloud CDN
ข้อดี
- อินทิเกรตเข้ากับ Google Cloud Platform (GCP) ได้อย่างดี ทำให้การใช้งานร่วมกับบริการอื่นใน Google ง่าย
- รองรับ HTTP/2 และ QUIC ซึ่งช่วยให้การโหลดข้อมูลเร็วขึ้น
- การคิดค่าใช้จ่ายตามปริมาณทราฟฟิก ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกขนาด
- มีศูนย์ข้อมูลครอบคลุมทั่วโลก
ข้อเสีย
- ระบบการตั้งค่าอาจซับซ้อนหากไม่มีความรู้ใน Google Cloud มาก่อน
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้หากทราฟฟิกสูงมาก โดยเฉพาะในบางภูมิภาค
5. Fastly
ข้อดี
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ CDN ที่มีการปรับแต่งรายละเอียดได้มาก
- มีการตอบสนองที่รวดเร็วมากเมื่อใช้งานร่วมกับเว็บไซต์ที่เน้นเรื่องความเร็วในการโหลด
- มีการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
ข้อเสีย
- ระบบการใช้งานอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์
- การสนับสนุนบางอย่างอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
บทสรุป การเลือกใช้ CDN ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ ความต้องการด้านทราฟฟิก และงบประมาณ หากเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก Cloudflare เป็นตัวเลือกที่ดีด้วยบริการฟรี แต่สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัยสูง Akamai หรือ AWS CloudFront อาจเหมาะสมกว่า
Domain Name คืออะไร
อยากมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง ก็ควรจะต้องมี Domain Name เป็นของตนเอง เช่นกัน
คำว่า Domain Name หรือชื่อโดเมน คือที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการระบุและเข้าถึงเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น www.example.com ชื่อโดเมนจะเป็นตัวแทนของ IP address ที่ซับซ้อนและยาวยืด ทำให้ง่ายต่อการจดจำและเข้าถึง
ชื่อโดเมนประกอบด้วยสองส่วนหลักๆ ได้แก่
- ชื่อหลัก (เช่น "example")
- นามสกุลโดเมน (เช่น ".com", ".org", ".net")
นามสกุลโดเมนบ่งบอกประเภทหรือภูมิภาคของเว็บไซต์ การเลือกชื่อโดเมนที่ดีและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจและองค์กร เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์และภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของผู้ใช้งาน
Domain Name สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท
1. Top-Level Domain (TLD)
เป็นประเภทที่อยู่ในระดับสูงสุดของชื่อโดเมน มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ ดังนี้:
Generic Top-Level Domains (gTLDs): เป็นโดเมนที่ไม่ได้ระบุเฉพาะประเทศหรือภูมิภาค ตัวอย่างเช่น
- .com: ใช้ทั่วไปสำหรับการค้าและธุรกิจ
- .org: สำหรับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
- .net: เดิมถูกใช้สำหรับเครือข่าย แต่ปัจจุบันใช้ทั่วไป
- .info: ใช้สำหรับเว็บไซต์ข้อมูล
- .biz: ใช้สำหรับธุรกิจ
Country Code Top-Level Domains (ccTLDs): เป็นโดเมนที่ระบุถึงประเทศหรือภูมิภาคเฉพาะ โดยมีรหัสประเทศตามมาตรฐาน ISO 3166-1 ตัวอย่างเช่น
- .th: สำหรับประเทศไทย
- .us: สำหรับสหรัฐอเมริกา
- .uk: สำหรับสหราชอาณาจักร
- .cn: สำหรับประเทศจีน
Sponsored Top-Level Domains (sTLDs): เป็นโดเมนที่ถูกสนับสนุนโดยองค์กรหรือกลุ่มเฉพาะ โดยมีข้อกำหนดเฉพาะในการใช้งาน ตัวอย่างเช่น
- .edu: สำหรับสถาบันการศึกษา
- .gov: สำหรับหน่วยงานรัฐบาล
- .mil: สำหรับหน่วยงานทางทหาร
2. Second-Level Domain
เป็นส่วนที่อยู่ก่อนหน้า TLD เช่น ในชื่อโดเมน "example.com" คำว่า "example" จะถือเป็น Second-Level Domain ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้ใช้งานเลือกเพื่อบ่งบอกถึงธุรกิจหรือบริการ
3. Third-Level Domain
หรือที่เรียกว่า Subdomain เป็นชื่อที่ถูกวางไว้หน้าชื่อโดเมนหลัก ตัวอย่างเช่น "blog.example.com" คำว่า "blog" เป็น Third-Level Domain หรือ Subdomain ที่ใช้บ่งบอกถึงส่วนหนึ่งของเว็บไซต์หลัก
4. New Generic Top-Level Domains (New gTLDs)
โดเมนประเภทใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มความหลากหลาย เช่น
- .app: สำหรับแอปพลิเคชัน
- .shop: สำหรับร้านค้าออนไลน์
- .tech: สำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
- .online: ใช้ทั่วไปสำหรับการบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นอยู่ในโลกออนไลน์
5. Internationalized Domain Names (IDNs)
โดเมนที่สามารถใช้ตัวอักษรจากภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาอังกฤษได้ เช่น การใช้ตัวอักษรไทย, จีน, อาหรับ ฯลฯ ทำให้สามารถจดจำและใช้งานได้ง่ายขึ้นในประเทศหรือภูมิภาคที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ
แต่ละประเภทของโดเมนมีความสำคัญและประโยชน์เฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งานในการเลือกใช้โดเมนที่เหมาะสมกับธุรกิจหรือบริการของตน
วิธีการเลือกซื้อ Domain Name
- เลือกชื่อที่จดจำง่าย
ชื่อที่สั้น กระชับ และสะกดง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้งานจำและเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ซับซ้อนหรือยาวเกินไป - ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาเว็บไซต์
การใช้คำที่สื่อถึงธุรกิจหรือเนื้อหาของเว็บไซต์จะช่วยให้ผู้เข้าชมรู้ได้ทันทีว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับอะไร และยังช่วยในการทำ SEO อีกด้วย - เลือกนามสกุลโดเมนที่เหมาะสม
นามสกุลโดเมนยอดนิยมเช่น .com, .net หรือ .org เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป หากเป็นเว็บไซต์ที่มุ่งเป้าไปยังภูมิภาคเฉพาะควรเลือกนามสกุลโดเมนที่ระบุประเทศเช่น .th (สำหรับประเทศไทย) - ตรวจสอบการใช้งานชื่อโดเมน
ก่อนที่จะลงทะเบียนชื่อโดเมนควรตรวจสอบว่าไม่มีผู้อื่นใช้ชื่อเดียวกันอยู่แล้ว และไม่มีการละเมิดเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิ์ทางปัญญา - เลือกผู้ให้บริการจดทะเบียนโดเมนที่น่าเชื่อถือ
ควรเลือกซื้อโดเมนจากผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ มีบริการที่ดีและการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ
การเลือกชื่อโดเมนที่ดีเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างตัวตนออนไลน์ที่น่าเชื่อถือและดึงดูดผู้เข้าชม โดยต้องคำนึงถึงความง่ายต่อการจำ ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และความพร้อมใช้งานของชื่อที่เลือก
10 ซอฟต์แวร์สำหรับนักออกแบบเว็บไซต์
10 ซอฟต์แวร์สำหรับนักออกแบบเว็บไซต์
ฟีเจอร์หลัก
- การจัดการและตัดต่อภาพ สามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพได้อย่างละเอียด
- การทำงานกับเลเยอร์ ใช้เลเยอร์ในการจัดการองค์ประกอบต่างๆ ของภาพ
- การสร้างกราฟิก ออกแบบปก, ป้ายโฆษณา, และองค์ประกอบกราฟิกสำหรับเว็บไซต์
- ช่วยในการสร้างและจัดการกราฟิกที่ใช้ในเว็บไซต์ เช่น ภาพพื้นหลัง, ปุ่ม, และไอคอน
ฟีเจอร์หลัก
- การสร้างภาพเวกเตอร์ ออกแบบกราฟิกที่สามารถปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพ
- การสร้างโลโก้และไอคอน เหมาะสำหรับการออกแบบโลโก้และไอคอนที่ชัดเจน
- เครื่องมือสำหรับการออกแบบตัวอักษรและรูปทรง
- สร้างกราฟิกที่มีความคมชัดสูงและเหมาะสำหรับการใช้ในเว็บไซต์ที่ต้องการรายละเอียด
ฟีเจอร์หลัก
- การออกแบบ UI/UX ออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้และประสบการณ์ผู้ใช้
- การสร้างโปรโตไทป์ สร้างต้นแบบของเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
- การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ หลายคนสามารถทำงานร่วมกันบนโปรเจกต์เดียวกันได้
- เหมาะสำหรับการออกแบบ UI/UX ที่ต้องการการทำงานร่วมกันของทีมและการสร้างโปรโตไทป์ที่ใช้งานได้
ฟีเจอร์หลัก
- การออกแบบ UI/UX เครื่องมือที่เน้นการออกแบบสำหรับเว็บและแอปพลิเคชัน
- การสร้างสัญลักษณ์ สร้างและจัดการสัญลักษณ์ที่ใช้ซ้ำได้
- การจัดการกับ Artboards ออกแบบหลายหน้าจอพร้อมกัน
- เหมาะสำหรับการออกแบบ UI และการสร้างเลย์เอาต์ที่สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
ฟีเจอร์หลัก
- การออกแบบเว็บไซต์ สร้างและออกแบบเว็บไซต์โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
- การสร้างและจัดการ CMS การจัดการเนื้อหาและการออกแบบที่ยืดหยุ่น
- การเผยแพร่เว็บไซต์ สามารถเผยแพร่เว็บไซต์ได้โดยตรงจากแพลตฟอร์ม
- ช่วยในการสร้างเว็บไซต์และโปรเจกต์เว็บอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ฟีเจอร์หลัก
- การเขียนโค้ด รองรับการเขียนโค้ด HTML, CSS, และ JavaScript
- การเน้นโค้ด รองรับการเน้นโค้ดที่มีคุณสมบัติหลายอย่าง
- การค้นหาและการแทนที่ ค้นหาและแทนที่ข้อความในโค้ดอย่างรวดเร็ว
- ใช้ในการเขียนและแก้ไขโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพ
ฟีเจอร์หลัก
- การเขียนโค้ด รองรับหลายภาษาโปรแกรมมิ่งรวมถึง HTML, CSS, JavaScript
- การดีบัก มีเครื่องมือสำหรับการดีบักโค้ด
- การทำงานร่วมกับปลั๊กอิน รองรับปลั๊กอินเพื่อเพิ่มฟีเจอร์และการใช้งานที่หลากหลาย
- เครื่องมือพัฒนาโค้ดที่มีฟีเจอร์ครบถ้วนและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
ฟีเจอร์หลัก
- การสร้างโปรโตไทป์ สร้างและทดสอบโปรโตไทป์ของเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
- การทำงานร่วมกัน รับข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์จากสมาชิกในทีม
- การสร้างแนวคิดการออกแบบ ใช้เครื่องมือในการสร้างแนวคิดและการแสดงความคิดเห็น
- ช่วยในการสร้างและทดสอบแนวคิดการออกแบบและรวบรวมความคิดเห็นจากทีม
ฟีเจอร์หลัก
- การดีบักเว็บไซต์ เครื่องมือสำหรับการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของเว็บไซต์
- การตรวจสอบและปรับแต่ง CSS แก้ไขและปรับแต่ง CSS แบบเรียลไทม์
- การวิเคราะห์ประสิทธิภาพ วิเคราะห์ความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์
- ช่วยในการพัฒนาและทดสอบเว็บไซต์เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟีเจอร์หลัก
- การออกแบบ UI/UX เครื่องมือสำหรับการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้และประสบการณ์ผู้ใช้
- การสร้างโปรโตไทป์ สร้างโปรโตไทป์ที่สามารถโต้ตอบได้
- การทำงานร่วมกัน แชร์และรับข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์
- ใช้ในการออกแบบ UI/UX และสร้างโปรโตไทป์ที่ช่วยให้สามารถทดสอบการออกแบบได้ก่อนการพัฒนา
ทำธุรกิจต้องรู้จัก Google Business Profile
Shared Hosting ราคาถูกที่สุด
เว็บ Hosting คือบริการที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต โดยการเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ เช่น ไฟล์, รูปภาพ, และฐานข้อมูล บนเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต