The Most/Recent Articles
Website และ Web App เหมือนหรือต่างกัน
Software กับ Application คืออะไร
Progressive Web App (PWA)
แนะนำ 6 แอปสโตร์ (App Store)
Threads โซเชียลมีเดีย
Threads App คืออะไร
Threads เป็นแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย ที่พัฒนาโดย Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) ซึ่งมีลักษณะการใช้งานคล้าย Twitter
ติดตั้งแอปมือถือให้ปลอดภัย
การติดตั้งแอปพลิเคชันบนมือถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแอปพลิเคชันอย่างไม่ระมัดระวังอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงในการเกิดปัญหาต่างๆ เช่น การติดมัลแวร์หรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว
ThaiID แอปสำหรับคนไทย
การใช้งาน ThaiID App มีขั้นตอนง่ายๆ
เข้าไปที่ Google Play Store สำหรับ Android หรือ App Store สำหรับ iOS เพื่อค้นหาและดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ThaiID ลงในสมาร์ทโฟนของคุณ
เปิดแอปแล้วทำการลงทะเบียนโดยใช้หมายเลขบัตรประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ได้ลงทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ
คุณจะต้องทำการยืนยันตัวตนผ่านระบบด้วยการกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และ OTP (รหัสที่ส่งผ่าน SMS)
เมื่อคุณเข้าสู่ระบบเรียบร้อยแล้ว สามารถใช้ ThaiID ในการแสดงบัตรประชาชนดิจิทัลแทนบัตรจริงได้ในสถานการณ์ที่ต้องยืนยันตัวตน เช่น การเข้ารับบริการที่หน่วยงานรัฐ โรงพยาบาล หรือสถานที่ต่างๆ ที่รองรับการยืนยันตัวตนผ่านแอปนี้
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและรักษาความปลอดภัยของรหัสผ่านและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
อย่ามองข้าม การอัปเดท OS บนมือถือ!
วิธีอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบน iOS (iPhone)
- อัปเดตระบบปฏิบัติการ (iOS)
- ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์)
- หากมีอัปเดตใหม่ ให้เลือก Download and Install (ดาวน์โหลดและติดตั้ง)
- ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi และชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มหรือเสียบสายชาร์จไว้ขณะทำการอัปเดต
- เปิด App Store
- ไปที่ Profile (โปรไฟล์) มุมขวาบน
- เลื่อนดูรายการแอปที่ต้องการอัปเดต จากนั้นเลือก Update (อัปเดต) หรือ Update All (อัปเดตทั้งหมด)
วิธีอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบน Android
- ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > System (ระบบ) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์) หรือ About phone (เกี่ยวกับโทรศัพท์)
- เลือก Check for updates (ตรวจสอบการอัปเดต) แล้วทำตามขั้นตอน
- เช่นเดียวกับ iOS ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi และชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม
- เปิด Google Play Store
- ไปที่ Profile (โปรไฟล์) > Manage apps & device (จัดการแอปและอุปกรณ์)
- เลือก Update all (อัปเดตทั้งหมด) หรือเลือกอัปเดตเฉพาะแอปที่ต้องการ
- บน iOS: ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > App Store > เปิด App Updates (อัปเดตแอป)
- บน Android: ไปที่ Google Play Store > Profile (โปรไฟล์) > Settings (การตั้งค่า) > Network preferences (การตั้งค่าเครือข่าย) > เปิด Auto-update apps (อัปเดตแอปอัตโนมัติ)
Whoscall แอปที่ต้องมี
รู้จัก Line Messenger ใน 5 นาที
Line Messenger เป็นแอปพลิเคชันสำหรับการสื่อสารและการส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 โดยบริษัท Naver Corporation จากประเทศเกาหลีใต้
Line Messenger ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความ แชทแบบกลุ่ม โทรศัพท์เสียง และวิดีโอคอลได้ นอกจากนี้ Line ยังมีฟีเจอร์ที่หลากหลาย เช่น การส่งสติกเกอร์ การแชร์ไฟล์ การโพสต์บนไทม์ไลน์ รวมถึงฟังก์ชันพิเศษอื่น ๆ เช่น Line Pay สำหรับการชำระเงินออนไลน์ และ Line Today สำหรับการติดตามข่าวสาร
วิธีการใช้งาน LINE
1. การติดตั้งแอปพลิเคชัน ฟรี!
ดาวน์โหลด Line Messenger จาก App Store สำหรับผู้ใช้ iOS หรือ Google Play Store สำหรับผู้ใช้ Android ติดตั้งแอปพลิเคชันลงบนสมาร์ทโฟนของคุณ
2. การสมัครใช้งาน ฟรี!
เมื่อเปิดแอป Line ครั้งแรก จะต้องสมัครบัญชีโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ จากนั้นจะได้รับรหัสยืนยันผ่าน SMS ใส่รหัสนั้นเพื่อยืนยันตัวตน
3. การเพิ่มเพื่อน
คุณสามารถเพิ่มเพื่อนได้หลายวิธี เช่น การใช้ QR Code, การค้นหาด้วยหมายเลขโทรศัพท์, หรือการเชื่อมต่อกับบัญชี Facebook
4. การส่งข้อความและสติกเกอร์ ฟรี!
หลังจากเพิ่มเพื่อนแล้ว คุณสามารถเริ่มแชทได้ทันที เลือกเพื่อนที่ต้องการคุย แล้วพิมพ์ข้อความ หรือเลือกสติกเกอร์น่ารัก ๆ เพื่อส่งให้เพื่อนได้
5. การโทรและวิดีโอคอล ฟรี!
Line มีฟังก์ชันโทรฟรีทั้งเสียงและวิดีโอ คุณสามารถเลือกการโทรจากหน้าต่างแชทของเพื่อน แล้วกดที่ปุ่มโทรศัพท์หรือวิดีโอ
6. การใช้ไทม์ไลน์
โพสต์สถานะ รูปภาพ หรือวีดีโอบนไทม์ไลน์เพื่อแชร์กับเพื่อน ๆ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถกดถูกใจหรือแสดงความคิดเห็นบนโพสต์ของเพื่อนเช่นกัน
7. ฟีเจอร์เพิ่มเติม
Line มีฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Line Pay สำหรับการทำธุรกรรมการเงิน, Line Today สำหรับการอ่านข่าว, และ Line Games สำหรับเล่นเกมร่วมกับเพื่อน ๆ
นอกเหนือจากการใช้ Line บนมือถือแล้ว เรายังสามารถใช้งาน LINE บน คอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย ทำให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ต้องการพิมพ์ข้อความยาวๆ
การใช้งาน LINE บน PC
Line บน PC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารและจัดการข้อความได้อย่างสะดวกสบายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความ โทรเสียง หรือวิดีโอคอล การใช้ Line บน PC เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ หรือผู้ที่ต้องการพิมพ์ข้อความยาวๆ ได้สะดวกมากขึ้น
วิธีการติดตั้งและใช้งาน Line App บน PC
1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง
- ไปที่เว็บไซต์ [LINE Official](https//line.me/en/download)
- เลือกเวอร์ชันที่เหมาะกับระบบปฏิบัติการของคุณ (Windows หรือ macOS)
- ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งและทำการติดตั้งลงบนคอมพิวเตอร์ของคุณ
2. การเข้าสู่ระบบ
- เปิดแอป Line บน PC แล้วเลือก "เข้าสู่ระบบด้วย Email" หรือ "เข้าสู่ระบบด้วย QR Code"
- ถ้าเลือก "เข้าสู่ระบบด้วย Email" ให้กรอกอีเมลและรหัสผ่านที่คุณได้ลงทะเบียนไว้กับ Line
- ถ้าเลือก "เข้าสู่ระบบด้วย QR Code" เปิดแอป Line บนสมาร์ทโฟน ไปที่ “หน้าหลัก” > “ตั้งค่า” > “บัญชี” > “อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ” จากนั้นสแกน QR Code ที่ปรากฏบนหน้าจอ PC
3. การแชทและส่งข้อความ
- เมื่อเข้าสู่ระบบสำเร็จ คุณจะเห็นรายชื่อเพื่อนและห้องแชทที่คุณมีอยู่ทั้งหมดในแถบด้านซ้าย
- คลิกที่ชื่อเพื่อนหรือห้องแชทที่ต้องการ เพื่อเริ่มต้นการสนทนา
- พิมพ์ข้อความในช่องแชทและกด Enter เพื่อส่ง คุณยังสามารถส่งสติกเกอร์ รูปภาพ ไฟล์ หรือบันทึกเสียงได้เช่นเดียวกับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน
4. การโทรและวิดีโอคอล
- คลิกที่ไอคอนโทรศัพท์ (สำหรับโทรเสียง) หรือไอคอนกล้อง (สำหรับวิดีโอคอล) ที่อยู่ด้านบนของหน้าต่างแชท
- การใช้งานฟีเจอร์นี้ต้องมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณมีไมโครโฟนและกล้องที่ใช้งานได้
5. การใช้ฟังก์ชันอื่นๆ
- บน Line PC คุณยังสามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ เช่นการสร้างห้องแชทกลุ่ม การใช้โน้ตและปฏิทิน การบันทึกและแชร์ไฟล์ได้เหมือนกับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน
- มีฟีเจอร์ Line Keep ที่ช่วยเก็บรักษาข้อความ รูปภาพ และไฟล์ที่สำคัญไว้ในคลาวด์ สามารถเข้าถึงได้จากทั้งสมาร์ทโฟนและ PC
6. การตั้งค่าการแจ้งเตือนและอื่นๆ
- คุณสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนเพื่อรับข้อความและสายเรียกเข้าบน PC ได้ รวมถึงการจัดการเสียงและการปรับแต่งส่วนตัวอื่นๆ โดยไปที่เมนู “ตั้งค่า” ในแอป Line บน PC
บทสรุป การใช้งาน Line บน PC ช่วยให้การทำงานและการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานหรือครอบครัวในขณะที่กำลังทำงานที่หน้าคอมพิวเตอร์.
เจาะลึกสมาร์ทริง คุ้มค่าจริงหรือ
Smart Ring เป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาสู่การออกแบบในรูปแบบแหวน เรียบง่ายแต่ทรงพลัง อุปกรณ์นี้ช่วยติดตามสุขภาพ, การนอนหลับ, การออกกำลังกาย และยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ลำโพงอัจฉริยะคืออะไร
ลำโพงอัจฉริยะ (Smart Speaker) เป็นอุปกรณ์ที่รวมเทคโนโลยีลำโพงเข้ากับระบบผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistant) เช่น Amazon Alexa, Google Assistant หรือ Apple Siri ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์ด้วยเสียงได้
เคล็ดลับประหยัดอินเตอร์เน็ตบนมือถือ
10 เทคนิคที่ช่วยประหยัดอินเทอร์เน็ต Data บนมือถือ
- Android: ไปที่ Settings > Network & Internet > Data Usage > Data Saver แล้วเปิดใช้งานโหมดประหยัด Data
- iOS: ไปที่ Settings > Cellular > Cellular Data Options > Low Data Mode เพื่อช่วยลดการใช้ Data เบื้องหลัง
- ใช้การตั้งค่าความละเอียดต่ำสุดเมื่อดู YouTube หรือ Netflix เช่น ปรับเป็น 360p หรือ 480p แทน 720p หรือ 1080p
- เปิด "Use less data" ในการตั้งค่าของแอปพลิเคชันที่ใช้ดูวิดีโอหรือสตรีมมิ่ง
- Android: ไปที่ Google Play Store > Settings > Network Preferences > Auto-update apps แล้วเลือก Over Wi-Fi only
- iOS: ไปที่ Settings > App Store และปิด App Updates ภายใต้หัวข้อ Automatic Downloads
- ปิดการซิงค์แอปที่ไม่จำเป็น เช่น อีเมล, ปฏิทิน หรือแอปอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ใช้ Data เบื้องหลัง
- Android: ไปที่ Settings > Accounts แล้วปิดการซิงค์ของแอปที่ไม่ต้องการ
- iOS: ไปที่ Settings > Accounts & Passwords แล้วเลือกปิดการซิงค์ที่ไม่จำเป็น
- ดาวน์โหลดเพลง, หนัง หรือรายการโปรดผ่าน Wi-Fi แล้วบันทึกไว้ในเครื่อง เพื่อฟังหรือดูแบบออฟไลน์แทนการสตรีมมิ่ง
- ใช้แอปเวอร์ชัน Lite เช่น Facebook Lite, Messenger Lite, YouTube Go ซึ่งใช้ Data น้อยกว่าแอปปกติ
- Android: ไปที่ Settings > Network & Internet > Data Usage > Mobile Data Usage เพื่อตรวจสอบว่าแอปไหนใช้ Data มากที่สุด
- iOS: ไปที่ Settings > Cellular และดูการใช้ Data ของแต่ละแอป
- หากต้องแชร์อินเทอร์เน็ตจากมือถือ ให้ตั้งค่า Hotspot เป็นโหมดจำกัด (Limit Data Usage) เพื่อควบคุมปริมาณ Data ที่ใช้
- Android: ไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Mobile Data & Wi-Fi แล้วปิด Background Data
- iOS: ไปที่ Settings > General > Background App Refresh แล้วเลือก Wi-Fi แทน Wi-Fi & Cellular Data
- VPN อาจใช้ Data มากกว่าปกติเนื่องจากการเข้ารหัสข้อมูล หากไม่จำเป็นควรปิด VPN
ทำความรู้จัก macOS ใน 5 นาที
มาสร้างแอปฯ ฟรี ด้วย Power Apps
Power Apps คืออะไร
ประโยชน์ของ Power Apps
- สร้างแอปได้รวดเร็ว
ช่วยให้พนักงานหรือผู้พัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกำหนดเองได้โดยไม่ต้องพัฒนาใหม่จากศูนย์ - ลดต้นทุนในการพัฒนา
ไม่จำเป็นต้องจ้างทีมพัฒนาแอปเฉพาะ ช่วยลดต้นทุนในองค์กร - การเชื่อมต่อข้อมูลได้ง่าย
สามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลที่ใช้งานอยู่ในระบบองค์กรได้ เช่น SharePoint, Excel, SQL, และบริการคลาวด์ต่างๆ - การใช้งานที่ง่ายต่อผู้ใช้งานทั่วไป
มีการออกแบบ UI ที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมสามารถสร้างแอปได้เอง - ปรับปรุงกระบวนการทำงาน
แอปที่สร้างขึ้นสามารถใช้ในการอัตโนมัติขั้นตอนการทำงาน ลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร
วิธีการใช้งานเบื้องต้นของ Power Apps
- ไปที่ [Power Apps](https://powerapps.microsoft.com/) แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Microsoft ของคุณ
- เลือก "Create" จากนั้นสามารถเลือกประเภทของแอปได้ เช่น Canvas app (สร้างแอปแบบปรับแต่งตามต้องการ) หรือ Model-driven app (สร้างแอปที่ใช้ข้อมูลเป็นหลัก)
- ใช้เครื่องมือ drag-and-drop เพื่อวางปุ่ม, ฟอร์ม, และองค์ประกอบต่างๆ ในแอป โดยสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ
- คลิก "Data" เพื่อเลือกแหล่งข้อมูลที่ต้องการเชื่อมต่อ เช่น Excel, SharePoint หรือฐานข้อมูลอื่นๆ
- หลังจากออกแบบแล้ว ให้คลิก "Preview" เพื่อทดสอบแอปก่อนใช้งานจริง
- เมื่อแอปพร้อมใช้งานแล้ว สามารถคลิก "Publish" เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ใช้งานในองค์กรหรือกลุ่มที่กำหนดเข้าถึงแอปได้
รู้จัก Telegram ใน 5 นาที
ประโยชน์ของ Telegram
- ความปลอดภัยสูง: Telegram ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ในการสนทนาส่วนตัว และมีฟีเจอร์การเข้ารหัสลับในการสนทนาแบบ Secret Chat ทำให้การใช้งาน Telegram มีความปลอดภัยสูงมาก
- การส่งไฟล์ขนาดใหญ่: Telegram รองรับการส่งไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 2 GB
- การสร้างกลุ่มและช่อง: ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่มสนทนาหรือช่องสาธารณะเพื่อแบ่งปันข้อมูล
- ฟีเจอร์บอท: ผู้ใช้สามารถสร้างและใช้งานบอทที่สามารถทำงานต่างๆ เช่น การตอบคำถาม, ส่งข่าวสาร, หรือช่วยในการทำธุรกิจ
- การใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม: Telegram รองรับการใช้งานทั้งบนมือถือ, แท็บเล็ต, และคอมพิวเตอร์
วิธีใช้งาน Telegram
- Android: ดาวน์โหลดจาก Google Play Store โดยค้นหาคำว่า "Telegram" และกดติดตั้ง
- iOS: ดาวน์โหลดจาก Apple App Store โดยค้นหาคำว่า "Telegram" แล้วกดติดตั้ง
- สามารถดาวน์โหลด Telegram Desktop ได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Telegram (https://desktop.telegram.org/) สำหรับการใช้งานบน Windows, macOS, หรือ Linux
- เปิดแอป Telegram ขึ้นมา
- เลือก Start Messaging หรือ เริ่มการส่งข้อความ
- ระบบจะขอให้คุณกรอก หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ของคุณ
- ใส่หมายเลขโทรศัพท์ที่คุณใช้งานและคลิก Next
- รอรับรหัส OTP (One-Time Password) ที่จะส่งไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่คุณกรอก
- กรอกรหัส OTP ที่ได้รับเพื่อยืนยันตัวตน
- หลังจากการลงทะเบียนเสร็จสิ้น คุณสามารถตั้งชื่อผู้ใช้และเพิ่มภาพโปรไฟล์ได้
- Telegram จะใช้ ชื่อผู้ใช้ (Username) เพื่อให้คนอื่นสามารถค้นหาคุณและติดต่อคุณได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์
การส่งข้อความส่วนตัว:
- ไปที่หน้าหลักของ Telegram แล้วกดที่ ไอคอนข้อความ (ที่มุมล่างขวาของหน้าจอ)
- ค้นหาผู้ติดต่อที่คุณต้องการส่งข้อความหาหรือเลือกจากรายชื่อที่แสดง
- เริ่มพิมพ์ข้อความหรือส่งไฟล์ต่างๆ ได้ทันที
- เมื่ออยู่ในหน้าต่างแชท ให้กด ไมโครโฟน แล้วพูดเพื่อบันทึกข้อความเสียง
- คลิกที่ ไอคอนคลิป เพื่อแนบไฟล์ต่างๆ เช่น ภาพ, วิดีโอ, เอกสาร หรือไฟล์อื่นๆ
สร้างกลุ่ม:
- ไปที่หน้าหลักแล้วกดที่ เมนู (สามขีดที่มุมซ้ายบน) แล้วเลือก New Group (กลุ่มใหม่)
- เลือกผู้ติดต่อที่ต้องการเพิ่มในกลุ่ม แล้วตั้งชื่อกลุ่ม
- หลังจากนั้นคุณสามารถเริ่มแชทและแชร์ข้อมูลกับสมาชิกในกลุ่มได้
- คล้ายกับการสร้างกลุ่ม แต่ช่องจะเน้นที่การส่งข้อมูลจากเจ้าของช่องไปยังผู้ติดตาม โดยไม่สามารถสนทนาโต้ตอบได้
- ไปที่ New Channel (ช่องใหม่) แล้วตั้งชื่อและคำอธิบายช่อง
- คุณสามารถเลือกทำให้ช่อง Public หรือ Private ขึ้นอยู่กับการเข้าถึง
- บอท คือโปรแกรมอัตโนมัติที่สามารถทำงานต่างๆ ให้คุณ เช่น การตอบคำถาม, ส่งข่าวสาร, หรือแม้กระทั่งช่วยจัดการการจอง
- คุณสามารถค้นหาบอทได้จากการค้นหาผ่านแถบค้นหา หรือเพิ่มบอทโดยใช้คำสั่ง `@botname` ในช่องแชท
- คุณสามารถปรับตั้งค่าความเป็นส่วนตัว เช่น ใครสามารถเห็นหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ, ใครสามารถติดต่อคุณได้, หรือใครสามารถดูสถานะของคุณ
- เข้าไปที่ Settings > Privacy and Security และปรับการตั้งค่าตามต้องการ
- Telegram รองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างดี คุณสามารถเริ่มการสนทนาบนมือถือแล้วต่อเนื่องไปยังคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตได้ทันที
- ทุกข้อความจะซิงค์ระหว่างอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ
- คุณยังสามารถใช้ Telegram ผ่าน Telegram Web ที่เว็บไซต์ [web.telegram.org](https://web.telegram.org) เพียงแค่เข้าสู่ระบบด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ
- การตั้งเวลาหมดอายุของข้อความ: คุณสามารถตั้งเวลาให้ข้อความที่ส่งหมดอายุอัตโนมัติหลังจากเวลาที่กำหนด (เหมาะสำหรับการแชทที่มีความเป็นส่วนตัวสูง)
- การใช้งานในโหมด Secret Chat: สำหรับการสนทนาที่ปลอดภัยที่สุด Telegram มีโหมด Secret Chat ที่ใช้การเข้ารหัสลับแบบ End-to-End และไม่สามารถถูกบันทึกหรือถ่ายภาพหน้าจอได้
- คุณสามารถค้นหากลุ่มหรือช่องต่างๆ โดยการค้นหาผ่านคำค้นหาที่เกี่ยวข้องหรือใช้แฮชแท็ก
- Telegram ยังรองรับการค้นหาข้อความที่ส่งในแชทย้อนหลังได้อย่างรวดเร็ว
ย้ายข้อมูล Android ไป iPhone ทำได้ไหม
ถ้าคุณต้องการจะเปลี่ยนการใช้งานสมาร์ทโฟน จาก Android มาเป็น iPhone แต่กลัวข้อมูลจะหาย บทความนี้ จะมาแนะนำวิธีการข้ายค่าย ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน ก็สามารถย้ายข้อมูลได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ External Harddisk หรือ Flash Drive แต่อย่างใด
การย้ายข้อมูลจาก Android ไปยัง iPhone สามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า "Move to iOS" ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันของ Apple ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการย้ายข้อมูลระหว่างระบบปฏิบัติการทั้งสอง วิธีการใช้มีดังนี้
ขั้นตอนในการย้ายข้อมูล Android ไปยัง iPhone
- ดาวน์โหลดแอป Move to iOS
เริ่มต้นโดยดาวน์โหลดแอป Move to iOS จาก Google Play Store บนอุปกรณ์ Android ของคุณ - ตั้งค่า iPhone ใหม่
เปิด iPhone ใหม่หรือ iPhone ที่รีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้น จากนั้นเริ่มกระบวนการตั้งค่าใหม่ เมื่อถึงหน้าจอ "Apps & Data" ให้เลือก "Move Data from Android" - เปิดแอป Move to iOS บน Android
เปิดแอป Move to iOS ที่คุณดาวน์โหลดไว้บนอุปกรณ์ Android จากนั้นกด "Continue" และยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ - เชื่อมต่อกับ iPhone
บน iPhone จะมีรหัสการเชื่อมต่อ 6 หรือ 10 หลัก ปรากฏขึ้น ให้กรอกรหัสนี้ในอุปกรณ์ Android ของคุณเพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างกัน - เลือกข้อมูลที่จะย้าย
บนอุปกรณ์ Android คุณสามารถเลือกข้อมูลที่ต้องการย้าย เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ปฏิทิน และแอป (ในกรณีที่มีแอปที่สามารถใช้งานบน iOS ได้) จากนั้นกด "Next" - รอการโอนย้ายข้อมูล
กระบวนการนี้อาจใช้เวลาสักครู่ ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ต้องการย้าย เมื่อเสร็จสิ้น ข้อมูลของคุณจะถูกโอนไปยัง iPhone - ตั้งค่าเพิ่มเติมบน iPhone
หลังจากการโอนย้ายข้อมูลเสร็จสิ้น คุณสามารถตั้งค่าเพิ่มเติม เช่น การล็อกอินเข้าสู่บัญชี Apple ID และการตั้งค่าต่าง ๆ บน iPhone ได้
วิธีการนี้จะช่วยให้คุณย้ายข้อมูลจาก Android ไปยัง iPhone ได้อย่างราบรื่นและง่ายดาย!
ข้อควรทราบ การย้ายข้อมูลจาก Android ไปยัง iPhone โดยใช้แอป Move to iOS จะมีการย้ายข้อมูลบางประเภทที่สามารถทำได้และบางประเภทที่ไม่สามารถย้ายได้ ข้อมูลที่สามารถย้ายได้และไม่ได้มีดังนี้
ข้อมูลที่สามารถย้ายได้
- รายชื่อผู้ติดต่อ (Contacts)
รายชื่อทั้งหมดจากสมุดโทรศัพท์บน Android จะถูกย้ายไปยัง iPhone - ประวัติข้อความ (Message History)
ข้อความ SMS และข้อความ MMS ที่เก็บไว้บน Android จะถูกย้ายไปยัง iPhone - รูปภาพและวิดีโอ (Photos and Videos)
ไฟล์ภาพและวิดีโอที่อยู่ในแอป Gallery ของ Android จะถูกย้ายไปยังแอป Photos บน iPhone - ปฏิทิน (Calendar Events)
เหตุการณ์ในปฏิทินที่บันทึกไว้บน Android จะถูกย้ายไปยัง iPhone - บัญชีอีเมล (Mail Accounts)
บัญชีอีเมลที่ตั้งค่าไว้บน Android จะถูกย้ายไปยัง iPhone หากเป็นบัญชีที่รองรับ เช่น Google - บุ๊คมาร์คเว็บ (Web Bookmarks)
บุ๊คมาร์คจากเบราว์เซอร์ Chrome บน Android จะถูกย้ายไปยัง Safari บน iPhone - แอปที่สามารถใช้งานได้บน iOS
หากมีแอปที่ใช้ได้ทั้งบน Android และ iOS, iPhone จะพยายามค้นหาแอปเหล่านั้นใน App Store และแนะนำให้ดาวน์โหลด
ข้อมูลที่ไม่สามารถย้ายได้
- แอปที่ไม่รองรับบน iOS
แอปที่มีเฉพาะบน Android หรือแอปที่ไม่ได้อยู่ใน App Store ของ Apple จะไม่สามารถย้ายไปยัง iPhone ได้ - ข้อมูลล็อกอินแอปพลิเคชัน
ข้อมูลการเข้าสู่ระบบของแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปธนาคารหรือแอปโซเชียลมีเดีย จะไม่ถูกย้าย คุณต้องเข้าสู่ระบบใหม่บน iPhone - เพลงที่มีลิขสิทธิ์หรือดาวน์โหลดมา
เพลงที่ดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่ได้รองรับหรือเพลงที่ซื้อจากแหล่งที่ไม่ใช่ Apple จะไม่ถูกย้าย - เอกสารและไฟล์ที่เก็บในแอปเฉพาะ
ไฟล์ที่เก็บในแอปพลิเคชันเฉพาะที่ไม่ได้เป็นแอปทั่วไปหรือระบบไฟล์ที่เข้ารหัสจะไม่ถูกย้าย - การตั้งค่าอุปกรณ์
การตั้งค่าต่างๆ เช่น การตั้งค่าเสียงเรียกเข้า การตั้งค่าหน้าจอ และการตั้งค่าการแจ้งเตือนจะไม่ถูกย้าย - ข้อมูลเกม
คะแนนหรือความคืบหน้าในเกมบน Android จะไม่ถูกย้ายไปยัง iPhone
ข้อควรระวัง
- การย้ายข้อมูลควรทำในที่ที่มี Wi-Fi ที่เสถียรและมีพลังงานแบตเตอรี่เพียงพอ
- ควรสำรองข้อมูลที่สำคัญไว้ก่อนทำการย้าย เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย
บทสรุป การย้ายข้อมูลด้วยวิธีนี้จะช่วยให้การเปลี่ยนจาก Android ไป iPhone ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ แต่โดยรวมๆ แล้ว ช่วยให้ชีวิตง่ายและสะดวกอย่างมาก
#Android #iPhone #iOS
8 ปัญหาการใช้ iPad พร้อมแนะวิธีแก้
iPad คืออะไร
iPad เป็นแท็บเล็ตจาก Apple ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับการออกแบบที่สวยงามและใช้งานง่าย เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยหน้าจอสัมผัสที่คมชัด ความสามารถในการประมวลผลที่รวดเร็ว
เคล็ดลับคำสั่ง Search บน Windows
ฟีเจอร์ Search บน Windows (เวอร์ชันล่าสุด) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับค้นหาไฟล์ แอปพลิเคชัน และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า Windows Search ยังมีคำสั่งลับ และฟังก์ชันพิเศษ
เคล็ดลับการใช้คำสั่ง Search บน Windows
- เปิดการค้นหา: กดปุ่ม Windows + S หรือคลิกไอคอนค้นหาบน Taskbar
- ค้นหาทั่วระบบ: พิมพ์คำที่ต้องการ เช่น ชื่อไฟล์, ชื่อแอป, หรือหัวข้อที่สนใจ
- การใช้งานฟิลเตอร์: ใช้ตัวกรองการค้นหา เช่น Apps: ค้นหาเฉพาะแอปพลิเคชัน, Documents: ค้นหาเอกสาร เช่น Word, Excel, Web: ค้นหาผ่าน Bing
- `*.docx` หรือ `*.pdf` เพื่อค้นหาเอกสารเฉพาะรูปแบบ
- `size:>10MB` เพื่อค้นหาไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 MB
- `date:today` หรือ `date:lastweek` เพื่อค้นหาไฟล์ที่แก้ไขล่าสุดในช่วงเวลา
- Windows เวอร์ชันล่าสุดมี Search Highlights ที่แสดงคำแนะนำหรือหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น เหตุการณ์ในปฏิทินหรือเทรนด์ปัจจุบัน
- การปรับปรุงผลลัพธ์การค้นหา: ไปที่ Settings > Privacy & security > Searching Windows (เปิด Enhanced Mode เพื่อให้ค้นหาได้ทั่วทั้งเครื่อง)
- ตั้งค่าคำหลัก (Keyword Query): เช่น `content:ชื่อไฟล์` เพื่อค้นหาคำที่อยู่ภายในไฟล์
- ค้นหาภายใน File Explorer: กด Ctrl + F
- ค้นหาใน Settings: กด Windows + I แล้วพิมพ์คำค้นหา
- การค้นหาในแอปเฉพาะ: ใช้คำสั่ง `app:ชื่อแอป` เช่น `app:Photos`
บทสรุป การใช้ Search บน Windows อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังเพิ่มความแม่นยำในการค้นหาไฟล์และข้อมูล การเรียนรู้คำสั่งลับ เช่น ตัวกรองและ Keyword Query รวมถึงการปรับแต่ง Settings เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณใช้งาน Windows ได้อย่างเต็มศักยภาพ!
วิธีจัดการแอป ที่ทำงานเบื้องหลังบนมือถือ
วิธีปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังบน Android
- กดปุ่ม Recent Apps (ปุ่มที่มักจะอยู่ด้านซ้ายหรือขวาของปุ่ม Home)
- เลื่อนแอปที่คุณต้องการปิดไปทางซ้ายหรือขวา หรือกดปุ่ม "X" หรือ "Clear All" เพื่อปิดแอปทั้งหมด
- ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > แอป (Apps) หรือ แอปและการแจ้งเตือน (Apps & Notifications)
- เลือกแอปที่คุณต้องการปิด
- กด บังคับหยุด (Force Stop)
- ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > แบตเตอรี่ (Battery) > การใช้แบตเตอรี่ (Battery Usage)
- เลือกแอปที่คุณต้องการจำกัดการทำงานเบื้องหลัง
- เปิด จำกัดการทำงานเบื้องหลัง (Restrict Background Activity)
วิธีปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังบน iOS (iPhone)
- สำหรับ iPhone รุ่นที่ไม่มีปุ่ม Home (เช่น iPhone X ขึ้นไป): ปัดขึ้นจากด้านล่างของหน้าจอค้างไว้
- สำหรับ iPhone รุ่นที่มีปุ่ม Home: กดปุ่ม Home สองครั้ง
- เลื่อนแอปที่คุณต้องการปิดขึ้นไปด้านบนของหน้าจอ
- ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) > รีเฟรชแอปเบื้องหลัง (Background App Refresh)
- ปิดการทำงานสำหรับแอปที่คุณไม่ต้องการให้ทำงานเบื้องหลัง หรือปิดทั้งหมดด้วยการเลือก Off
- ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > แบตเตอรี่ (Battery)
- ตรวจสอบแอปที่ใช้พลังงานมาก และปรับการตั้งค่าตามที่จำเป็น
- การปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังบ่อยเกินไปอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องเท่าที่คิด เพราะสมาร์ทโฟนสมัยใหม่ถูกออกแบบมาให้จัดการแอปที่ทำงานเบื้องหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควรปิดเฉพาะแอปที่คุณไม่ต้องการใช้งานจริง ๆ หรือแอปที่มีปัญหาเท่านั้น