The Most/Recent Articles

แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา Security จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา Security จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด

ยุคนี้ Antivirus เอาไม่อยู่แล้ว

No Threats Found

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การปกป้องระบบและข้อมูลจากภัยคุกคามไซเบอร์เป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้โปรแกรม Antivirus เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์เบื้องต้น แต่ยังไม่เพียงพอ

องค์กรในปัจจุบัน มีการที่เผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การโจมตีแบบ Zero-day หรือการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ด้วยเหตุนี้ ระบบ Endpoint Security จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคาม โดยครอบคลุมอุปกรณ์ทุกเครื่องในเครือข่าย พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR), การป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP), การควบคุมการเข้าถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ระบบ Endpoint Security ยังสามารถบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้งานในเครือข่ายได้แบบรวมศูนย์ ช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น


Antivirus vs Endpoint Security  

1. Antivirus  

โปรแกรม Antivirus ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัส มัลแวร์ สปายแวร์ และโทรจัน โดยตรวจจับไฟล์ที่น่าสงสัยหรือพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย ส่วนใหญ่จะเน้นปกป้องระบบในลักษณะพื้นฐาน เช่น การสแกนไวรัส การป้องกันแบบเรียลไทม์ (Real-time Protection) และการกักกันไฟล์ที่ไม่ปลอดภัย แม้ว่า Antivirus ในปัจจุบันจะพัฒนาขึ้นและสามารถป้องกันมัลแวร์ที่ซับซ้อนได้ แต่ยังมีขีดจำกัดในการจัดการกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน

2. Endpoint Security

Endpoint Security เป็นโซลูชันที่มีขอบเขตกว้างกว่าการป้องกันไวรัสโดยทั่วไป ซึ่งออกแบบมาสำหรับการป้องกันอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoints) เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก มือถือ และเซิร์ฟเวอร์ ในเครือข่ายองค์กร โดย Endpoint Security มีคุณสมบัติที่มากกว่า Antivirus ทั่วไปและครอบคลุมการป้องกันทั้งระบบ
  • Advanced Threat Protection: ป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง เช่น การโจมตีแบบ Zero-day และมัลแวร์ที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับ
  • Data Loss Prevention (DLP): ป้องกันข้อมูลสำคัญไม่ให้รั่วไหลออกจากระบบ
  • Device Control: ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์เสริม เช่น USB
  • Endpoint Detection and Response (EDR): ตรวจสอบและตอบสนองต่อการบุกรุกที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์
  • Application Whitelisting: อนุญาตเฉพาะแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยให้สามารถทำงานได้ในระบบ
  • Patch Management: จัดการอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยของระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่

ความแตกต่างระหว่าง Antivirus และ Endpoint Security

  • ขอบเขตการป้องกัน: Antivirus ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ Endpoint Security ครอบคลุมมากกว่าและออกแบบเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อนในระดับองค์กร

  • การจัดการแบบรวมศูนย์: Endpoint Security มักมีระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ (Centralized Management) ที่ช่วยให้องค์กรจัดการอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การตอบสนองต่อภัยคุกคาม: Endpoint Security มีระบบที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อัตโนมัติ และตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้ใช้ภายในเครือข่ายองค์กร


บทสรุป การใช้ Endpoint Security เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากภัยคุกคามมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรม Antivirus ธรรมดาจะจัดการได้ Endpoint Security ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR) และการป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP) ทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้แบบรวมศูนย์ สร้างเกราะป้องกันที่ครอบคลุมและมั่นคงมากขึ้น

Zero Trust Security เรื่องที่ควรรู้

MFA Zero Trust Security

Zero Trust Security เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เน้นหลักการว่า “ห้ามเชื่อถือโดยอัตโนมัติ” ไม่ว่าจะเป็นบุคคล อุปกรณ์ หรือแอปพลิเคชัน ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร

เจาะลึก 6 วิธี Sign-in เข้า Windows

Windows Sign-in Options

Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และมาพร้อมกับวิธีการลงชื่อเข้าใช้งาน (Sign-in) หลายรูปแบบเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไป องค์กร หรือผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยสูง 

เหตุผลที่ต้องทำ Windows Update

Windows Update

เรื่องน่ารู้ สำหรับคนใช้ Windows

Windows อัพเดท (Windows Update) คือกระบวนการที่ Microsoft ใช้เพื่อปรับปรุงและแก้ไขระบบปฏิบัติการ Windows ของคอมพิวเตอร์ โดยการอัพเดทเหล่านี้สามารถรวมถึงการปรับปรุงด้านความปลอดภัย, ฟีเจอร์ใหม่, การแก้ไขข้อบกพร่อง และการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ 

สร้างเกราะคุ้มกันให้คอมพิวเตอร์ Windows

Protection Windows Computer
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์และมัลแวร์ต่างๆ การสร้าง "เกราะคุ้มกัน" ให้กับคอมพิวเตอร์ Windows ของคุณไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานของระบบอีกด้วย

ปรับแต่ง Windows Defender ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Antivirus
ฟรีแอนตี้ไวรัสที่มาพร้อมกับ Windows   

การป้องกันไวรัสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เราพึ่งพาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในการทำงาน การเรียนรู้ และการติดต่อสื่อสาร ไวรัสและมัลแวร์สามารถเข้าสู่ระบบของเราได้ผ่านทางไฟล์ที่ดาวน์โหลด ลิงก์ที่น่าสงสัย หรือแม้แต่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 

อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญสูญหาย ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย หรือระบบได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โปรแกรมป้องกันไวรัส เช่น Windows Defender ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์เหล่านี้ โดยการตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง 

Windows Security

การตั้งค่าให้ระบบมีการอัปเดตอยู่เสมอและการระมัดระวังในกิจกรรมออนไลน์ช่วยลดความเสี่ยงในการโดนโจมตี การป้องกันไวรัสจึงมีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ให้การใช้งานเทคโนโลยีเป็นไปอย่างปลอดภัยและมั่นใจ

6 วิธีการใช้ Windows Defender อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เปิดใช้งาน Windows Defender Real-time Protection
  • เข้าไปที่ Settings > Update & Security > Windows Security แล้วเลือก Virus & Threat Protection
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟีเจอร์ Real-time protection ถูกเปิดใช้งาน เพื่อให้ Windows Defender ตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง

2. การตั้งค่าและอัปเดต Windows Defender เป็นประจำ
  • Windows Defender จะมีการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณเปิดใช้งาน Windows Update เพื่อรับการอัปเดตล่าสุดเสมอ
  • การอัปเดตเป็นประจำช่วยให้ Windows Defender สามารถป้องกันไวรัสและมัลแวร์ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ใช้งานการสแกนระบบ
  • สามารถเลือกสแกนประเภทต่าง ๆ ได้แก่ Quick Scan (สแกนเร็ว), Full Scan (สแกนทั้งหมด), และ Custom Scan (สแกนเฉพาะโฟลเดอร์หรือไฟล์)
  • ควรทำ Full Scan อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย และใช้ Custom Scan เมื่อสงสัยว่ามีไฟล์น่าสงสัยในโฟลเดอร์เฉพาะ

4. เปิดใช้งาน Controlled Folder Access
  • Controlled Folder Access เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันไฟล์ในโฟลเดอร์สำคัญจากแรนซัมแวร์และมัลแวร์
  • ไปที่ Virus & Threat Protection > Ransomware Protection > Manage Controlled Folder Access และเปิดใช้งาน

5. ระมัดระวังการดาวน์โหลดไฟล์และการคลิกลิงก์
  • ไม่ควรดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่คุ้นเคยในอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
  • การระมัดระวังนี้ช่วยลดโอกาสการติดไวรัสหรือมัลแวร์จากการดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว

6. ใช้การตั้งค่าการป้องกันอื่น ๆ เพิ่มเติม
  • Windows Defender ยังมี Firewall ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยไปที่ Windows Security > Firewall & network protection
  • ตรวจสอบการตั้งค่าของ Firewall ให้มั่นใจว่าเปิดใช้งานสำหรับเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ทุกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก

บทสรุป การใช้งาน Windows Defender ร่วมกับการระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นวิธีป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบและข้อมูลของคุณ

ตั้งค่า Windows ก่อนเริ่มใช้งาน

Windows Settings
การตั้งค่า Windows สำหรับผู้เริ่มต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้การใช้งานระบบปฏิบัติการเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งานคอมพิวเตอร์ 

การตั้งค่า Windows ให้เหมาะสมกับความต้องการจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้เข้าถึงฟีเจอร์สำคัญได้ง่าย การตั้งค่าบัญชี Microsoft, การจัดการพื้นที่เก็บข้อมูล, การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว รวมถึงการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพให้กับคอมพิวเตอร์ 

นอกจากนี้ การปิดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นและปรับแต่งแถบเครื่องมือจะช่วยให้การใช้งานเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น การตั้งค่าเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การใช้งานเป็นเรื่องง่าย แต่ยังทำให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด


9 ขั้นตอนการตั้งค่า Windows 

1. การตั้งค่าบัญชี Microsoft  

บัญชี Microsoft ช่วยให้คุณเข้าถึงบริการต่าง ๆ เช่น OneDrive สำหรับจัดเก็บข้อมูลออนไลน์, Outlook สำหรับอีเมล และ Microsoft Store สำหรับดาวน์โหลดแอป นอกจากนี้ การเชื่อมบัญชีนี้ยังทำให้คุณสามารถซิงค์ข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างอุปกรณ์ได้ เช่น การตั้งค่าระบบ, ธีม, รหัสผ่าน และอื่น ๆ ช่วยให้การสลับอุปกรณ์เป็นไปอย่างสะดวก

2. ปรับการตั้งค่าหน้าจอและความละเอียด  

ความละเอียดหน้าจอที่เหมาะสมช่วยให้การแสดงผลชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานหลายหน้าจอหรือมีหน้าจอที่มีขนาดแตกต่างกัน สามารถปรับความละเอียดและขนาดของข้อความได้ที่ Settings > System > Display โดยเลือกความละเอียดที่เหมาะสมตามขนาดของหน้าจอ นอกจากนี้ การเปิดใช้งาน Night Light ยังช่วยลดแสงสีฟ้าเพื่อถนอมสายตาอีกด้วย

3. จัดการพื้นที่จัดเก็บข้อมูล  

Storage Sense เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Windows ลบไฟล์ขยะและไฟล์ชั่วคราวอัตโนมัติ ทำให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลมีมากขึ้นและเครื่องทำงานเร็วขึ้น คุณสามารถเปิดใช้งาน Storage Sense ได้ที่ Settings > System > Storage และเลือกการตั้งค่าให้ลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานในโฟลเดอร์ต่าง ๆ เช่น Downloads หรือ Recycle Bin ตามระยะเวลาที่กำหนด

4. ปรับแต่ง Start Menu และ Taskbar  

ปักหมุดโปรแกรมที่ใช้งานบ่อยบน Start Menu และ Taskbar ช่วยให้เข้าถึงโปรแกรมได้รวดเร็วขึ้น สามารถทำได้โดยคลิกขวาที่โปรแกรมแล้วเลือก Pin to Start หรือ Pin to Taskbar นอกจากนี้ สามารถจัดเรียงไอคอนใน Start Menu ตามหมวดหมู่ที่ต้องการได้ ช่วยให้หน้าจอดูเป็นระเบียบและสะดวกต่อการใช้งาน

5. อัปเดต Windows อย่างสม่ำเสมอ  

Windows Update เป็นการติดตั้งแพตช์ความปลอดภัยและฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ระบบปลอดภัยและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งค่าให้ Windows Update ทำงานอัตโนมัติทำได้โดยไปที่ Settings > Update & Security > Windows Update เลือก Check for updates เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับการอัปเดตล่าสุดอยู่เสมอ

6. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว  

ตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเพื่อป้องกันไม่ให้แอปต่าง ๆ เข้าถึงข้อมูลที่ไม่จำเป็น สามารถเข้าไปปรับแต่งได้ที่ Settings > Privacy โดยจะมีเมนูย่อยให้เลือก เช่น การเข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, ข้อมูลตำแหน่ง และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถปิดหรือเปิดได้ตามความเหมาะสม

7. ตั้งค่า Windows Defender และ Firewall  

Windows Defender ช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์ในระบบ ส่วน Firewall จะช่วยป้องกันการเข้าถึงจากภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งสองฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานได้ที่ Settings > Update & Security > Windows Security และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการเปิดการทำงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบ

8. การสำรองข้อมูลอัตโนมัติ  

การสำรองข้อมูลช่วยป้องกันการสูญหายของไฟล์สำคัญในกรณีที่เครื่องเกิดปัญหา เช่น ฮาร์ดดิสก์เสียหรือไฟล์ถูกลบโดยไม่ตั้งใจ การใช้ OneDrive จะช่วยซิงค์ไฟล์และเก็บสำรองข้อมูลอัตโนมัติ หากต้องการสำรองข้อมูลในรูปแบบอื่น ๆ สามารถตั้งค่าได้ที่ Settings > Update & Security > Backup

9. การจัดการแอปที่เปิดพร้อมเครื่อง (Startup)  

แอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานพร้อมเครื่องในตอนเริ่มต้นอาจทำให้การบูตเครื่องช้าลง ควรปิดแอปที่ไม่จำเป็นออกจาก Startup โดยกด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager แล้วไปที่แท็บ Startup จากนั้นเลือกแอปที่ไม่ต้องการเปิดพร้อมเครื่องแล้วคลิก Disable

บทสรุป การตั้งค่า Windows เบื้องต้นมีความจำเป็นสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน เพราะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน  แล้วคุณหล่ะ ! ได้ลองตั้งค่า Windows แล้วหรือยัง?

อาชีพด้านเทคโนโลยี ที่มีรายได้สูง

People Tech

อาชีพไหนที่คุณคิดว่า รายได้ดีสุดๆ   

สายงานเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นที่ต้องการอย่างสูง และมีรายได้ที่น่าสนใจ เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล อาชีพที่มาแรง เช่น Cloud Solutions Architect, Data Scientist, และ Cybersecurity Manager ล้วนมีบทบาทสำคัญในองค์กรยุคใหม่ 

สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นในสายนี้ ควรพิจารณาเลือกอาชีพที่ตรงกับความถนัดและความสนใจของตน เช่น หากคุณชอบการแก้ปัญหาและการวิเคราะห์ข้อมูล การเป็น Data Scientist อาจเหมาะสม แต่หากคุณสนใจความปลอดภัยและการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ การเป็น Cybersecurity Manager จะช่วยให้คุณสร้างความปลอดภัยในระบบองค์กรได้ดีขึ้น 

ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะใหม่ ๆ และการเรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น AI, Blockchain, และ IoT จะช่วยเพิ่มโอกาสในตลาดงานได้มากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ การเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ใหม่ เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเส้นทางอาชีพที่ประสบความสำเร็จในสายเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ


10 อาชีพด้านเทคฯ ที่มีรายได้สูง

1. Cloud Solutions Architect
  • หน้าที่: ออกแบบสถาปัตยกรรมและการนำระบบคลาวด์มาใช้ในองค์กร ช่วยให้การดำเนินงานของระบบคลาวด์มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพิจารณาด้านความปลอดภัย ความเสถียร และการขยายตัวของระบบ นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำในการเลือกใช้บริการคลาวด์ต่างๆ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud
ทักษะที่ต้องการ:
  • ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ Cloud Services (AWS, Azure, Google Cloud)
  • การออกแบบ Scalable Architectures
  • DevOps และ Infrastructure as Code (IaC) เช่น Terraform
  • ความปลอดภัยในระบบคลาวด์ (Cloud Security)
  • การจัดการและบริหาร Kubernetes และ Docker

2. Data Scientist
  • หน้าที่: ใช้ข้อมูลจำนวนมาก (Big Data) เพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า หรือเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการธุรกิจ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เช่น Machine Learning และสถิติ เพื่อสร้างแบบจำลองที่สามารถทำนายผลลัพธ์ในอนาคต
 ทักษะที่ต้องการ:
  • ความเชี่ยวชาญใน Python, R, SQL
  • การใช้ Machine Learning Frameworks (เช่น TensorFlow, Scikit-learn)
  • การวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้าง Data Visualization (เช่น Power BI, Tableau)
  • ทักษะทางสถิติและคณิตศาสตร์
  • ความสามารถในการทำงานกับ Big Data Technologies เช่น Hadoop และ Spark

3. Cybersecurity Manager
  • หน้าที่: วางแผนกลยุทธ์เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ดูแลการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ตรวจสอบระบบเครือข่ายเพื่อหาช่องโหว่ รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น GDPR หรือ ISO 27001
ทักษะที่ต้องการ:
  • ความรู้เชิงลึกในด้าน Network Security, Firewall, และ Intrusion Detection Systems (IDS)
  • การทำ Penetration Testing และ Vulnerability Assessment
  • ทักษะการใช้ SIEM (Security Information and Event Management) เช่น Splunk
  • การป้องกันการโจมตี DDoS, Malware Analysis
  • ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับด้านความปลอดภัย

4. Artificial Intelligence (AI) Engineer
  •  หน้าที่: พัฒนาอัลกอริธึมที่สามารถเรียนรู้และทำงานได้อย่างอัตโนมัติ เช่น Chatbots, การจดจำภาพ, และระบบแนะนำสินค้า โดยใช้ Machine Learning, Neural Networks และเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)
 ทักษะที่ต้องการ:
  • ความเชี่ยวชาญใน Python, TensorFlow, PyTorch
  • ความเข้าใจใน Deep Learning Algorithms เช่น CNN, RNN, และ GANs
  • การใช้ NLP (Natural Language Processing) และการวิเคราะห์ข้อมูล
  • การทำงานกับ Computer Vision และ AI Ethics

5. DevOps Engineer
  • หน้าที่: ปรับปรุงกระบวนการพัฒนาและส่งมอบซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น โดยใช้ระบบอัตโนมัติในการสร้างและทดสอบ รวมถึงการดูแลโครงสร้างพื้นฐานแบบ Continuous Integration/Continuous Deployment (CI/CD)
ทักษะที่ต้องการ:
  • Scripting Languages เช่น Bash, Python
  • ระบบจัดการคอนเทนเนอร์ เช่น Docker, Kubernetes
  • การใช้เครื่องมือ CI/CD เช่น Jenkins, GitLab
  • การจัดการระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Terraform, Ansible
  • ความรู้ด้าน Monitoring Tools เช่น Prometheus, Grafana

6. Blockchain Developer
  • หน้าที่: สร้างและพัฒนา Smart Contracts บน Blockchain Platforms เช่น Ethereum, Hyperledger รวมถึงพัฒนา Decentralized Applications (DApps) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปลอดภัยในการทำธุรกรรมดิจิทัล
ทักษะที่ต้องการ:
  •  Solidity, JavaScript, Go
  •  การออกแบบ Smart Contracts
  •  ความรู้ด้าน Cryptography และ Decentralized Finance (DeFi)
  •  การทำงานกับ Blockchain Frameworks เช่น Hyperledger Fabric
  •  การพัฒนา DApps และการใช้ Web3.js

7. IoT Solutions Architect
  • หน้าที่: ออกแบบระบบ Internet of Things (IoT) สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น เซนเซอร์และเครื่องจักร เพื่อให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างอัตโนมัติ
ทักษะที่ต้องการ:
  •  ความเข้าใจใน IoT Protocols เช่น MQTT, CoAP
  •  Embedded Systems และการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์ IoT
  •  การใช้ Cloud IoT Platforms เช่น AWS IoT, Azure IoT Hub
  •  การวิเคราะห์ข้อมูลจาก IoT ด้วย Big Data Analytics
  •  ความปลอดภัยในระบบ IoT (IoT Security)

 8. Full Stack Developer
  • หน้าที่: พัฒนาและดูแลทั้ง Front-end และ Back-end ของแอปพลิเคชัน โดยรวมถึงการออกแบบฐานข้อมูล การสร้าง API และการดูแลเซิร์ฟเวอร์
 ทักษะที่ต้องการ:
  • Front-end Technologies: HTML, CSS, JavaScript, React, Angular
  • Back-end Technologies: Node.js, Python, Ruby on Rails
  • การจัดการฐานข้อมูล เช่น MySQL, MongoDB
  • ความสามารถในการทำงานกับ RESTful APIs
  • การใช้เครื่องมือ Version Control เช่น Git

9. Product Manager (Tech)
  • หน้าที่: วางแผนและบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี โดยทำงานร่วมกับทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ ทีมการตลาด และทีมขาย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด
ทักษะที่ต้องการ:
  • Product Lifecycle Management
  • การใช้ Agile Methodologies เช่น Scrum
  • การวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง
  • ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ
  • ความสามารถในการจัดการ Roadmap และ Product Strategy

10. Mobile Application Developer
  • หน้าที่: พัฒนาและดูแลแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS และ Android รวมถึงการอัพเดตฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง UX/UI
ทักษะที่ต้องการ:
  • Swift (iOS), Kotlin (Android)
  • การใช้ Cross-Platform Frameworks เช่น Flutter, React Native
  • การออกแบบ UX/UI สำหรับ Mobile
  • การใช้ APIs และ SDKs
  • ความสามารถในการทดสอบและปรับปรุง Mobile Performance

บทสรุป ทั้ง 10 อาชีพที่กล่าวถึงข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนจากอาชีพที่มีรายได้สูงในสายงานเทคโนโลยี ซึ่งยังมีอีกหลายตำแหน่งที่มีความต้องการสูงในตลาด สำหรับอาชีพที่เหลือ เช่น Machine Learning Engineer, UX/UI Designer, IT Project Manager ก็เป็นสายงานที่มีความน่าสนใจและให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว หากคุณสนใจสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับตำแหน่งอื่นๆ ได้เช่นกันครับ!

คำศัพท์ 100 คำระบบความปลอดภัย

vocabulary

ในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์ การทำความเข้าใจคำศัพท์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบรักษาความปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความเข้าใจและ จะได้หาทางปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวได้ดีมากขึ้น 

วิธีใช้ Passkey กับ Windows

Passkey

ในยุคดิจิทัลที่ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ การใช้รหัสผ่านแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้น Passkey จึงเป็นอีกทางเลือก ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากกว่า 

Free Antivirus ใช้ได้จริงหรือ

Free Antivirus

ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การปกป้องข้อมูลและอุปกรณ์จากไวรัสและมัลแวร์เป็นสิ่งจำเป็น การติดตั้งแอนตี้ไวรัสซอฟต์แวร์ฟรี เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ 

ทราบได้ไงว่า บัญชี Facebook ถูกแฮ็ก

Facebook Account

Facebook เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อยู่เป็นจำนวนมาก การถูกแฮ็กบัญชีอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยของข้อมูล และการเงินของผู้ใช้ 

วิธีป้องกัน Ransomware พร้อมวิธีทำ

Prevent Ransomware
มาทำความรู้จักภัยจากไวรัสเรียกค่าไถ่และแนวทางป้องกัน

Ransomware คือมัลแวร์ที่โจมตีระบบคอมพิวเตอร์โดยการเข้ารหัสไฟล์สำคัญและเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกข้อมูล ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงไฟล์หรือระบบของตนเองได้ เว้นแต่จะยอมจ่ายเงินตามที่แฮกเกอร์กำหนด 

ภัยคุกคามนี้มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยเป้าหมายหลักรวมถึงองค์กรธุรกิจ โรงพยาบาล และผู้ใช้ทั่วไป ปัญหาที่เกิดจาก Ransomware อาจมีผลกระทบกว้างขวาง เช่น การสูญเสียข้อมูลสำคัญ การหยุดชะงักของการดำเนินงานทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายสูงจากการกู้ข้อมูลหรือจ่ายค่าไถ่ 

นอกจากนี้ อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เกิดความเสียหายทางกฎหมายและชื่อเสียง การป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการสำรองข้อมูล การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย และการตระหนักถึงความเสี่ยงทางไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน


8 แนวทางป้องกัน Ransomware อย่างละเอียด

1. ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์
  • เลือกซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีฟีเจอร์ป้องกันแรนซัมแวร์ เช่น Bitdefender, Kaspersky หรือ Windows Defender (ฟรีใน Windows)
  • ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ทางการ
  • ติดตั้งและเปิดใช้งานการสแกนเรียลไทม์ (Real-Time Protection)
  • และที่สำคัญ ตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ เพื่อป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ

2. อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์
  • ใน Windows: ไปที่ Settings > Windows Update แล้วกด Check for Updates
  • 2. ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Software Update
  • 3. ในโปรแกรมอื่น ๆ เช่น Microsoft Office หรือ Browser: เลือก Help > Check for Updates
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม ให้เปิดใช้งาน Automatic Updates เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการป้องกันล่าสุดเสมอ

3. สำรองข้อมูลสำคัญ (Backup)
  • ใช้ External Drive หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, OneDrive, Dropbox
  • เลือกไฟล์สำคัญ เช่น รูปภาพ เอกสาร และไฟล์งาน
  • กำหนดเวลาสำรองข้อมูล เช่น ทุกสัปดาห์
  • ข้อแนะนำเพิ่มเติม ควรแยกการเก็บข้อมูลสำรองออกจากเครือข่ายหลัก (เช่น ถอด External Drive หลังสำรองข้อมูลเสร็จ)

4. ใช้หลักการให้สิทธิ์ขั้นต่ำ (Least Privilege)
  • สำหรับองค์กร: สร้างบัญชีผู้ใช้ตามบทบาท (Admin และ User)
  • สำหรับบุคคล: ไม่ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ (Administrator) ในการใช้งานทั่วไป
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม เปิดใช้งานรหัสผ่านหรือ PIN ในบัญชี เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

5. ฝึกอบรมพนักงานหรือเรียนรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • จัดอบรมเกี่ยวกับการระวังอีเมลปลอม เช่น อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Udemy, YouTube หรือ Google
  • จำคีย์สำคัญ เช่น “ดู URL ให้แน่ใจว่าเป็น HTTPS” และ “อย่าเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย”

6. เปิดใช้งานไฟร์วอลล์
  • ใน Windows: ไปที่ Control Panel > System and Security > Windows Defender Firewall และเลือก Turn on Firewall
  • ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Security & Privacy > Firewall
  • เคล็ดลับ: ตั้งค่ากฎเพื่อจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายจากแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น

7. แบ่งส่วนเครือข่าย (Network Segmentation)
  • ใช้เราเตอร์ที่รองรับการสร้างเครือข่ายย่อย (VLAN)
  • แยกการใช้งาน เช่น เครือข่ายสำหรับงาน และเครือข่ายสำหรับความบันเทิง
  • เคล็ดลับ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายหากไม่แน่ใจในการตั้งค่า

8. ใช้โซลูชันป้องกันสแปม (Spam Filtering)
  • ใช้บริการอีเมลที่มีระบบป้องกันสแปม เช่น Gmail หรือ Microsoft Outlook
  • ติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น SpamAssassin
  • ตั้งค่าการกรองอีเมลที่น่าสงสัยเข้าโฟลเดอร์สแปมโดยอัตโนมัติ
  • เคล็ดลับ: แจ้งผู้ใช้งานให้หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ในอีเมลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

บทสรุป การลดปัญหาจาก Ransomware เพียงแค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการโจมตีของ Ransomware ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับองค์กรที่ระบบเครือข่ายภายในและภายนอก

รายละเอียดเพิ่มเติม อาการติด Ransomware

#AntiVirus #Malware #Safety #Security 

ตั้งค่าและปรับแต่ง mac ให้โดนใจ

mac computer

การตั้งค่าและปรับแต่ง Mac ของคุณให้เหมาะสมกับความต้องการเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและทำให้ประสบการณ์การใช้เครื่อง Mac ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้ใหม่หรือผู้ใช้ที่มีประสบการณ์ 

SPF คืออะไร ทำไมคนทำเว็บ คนใช้เมลต้องรู้

Mail Server Security
SPF คืออะไร และเกี่ยวข้องกับโดเมนเนมอย่างไร?

SPF (Sender Policy Framework) เป็นชุดของข้อกำหนดที่ใช้ระบุว่าเซิฟเวอร์ใดได้รับ อนุญาตให้ส่งอีเมลในนามของโดเมน ของคุณ เปรียบเสมือนบัตรประจำตัวสำหรับอีเมลที่ส่งออกจากโดเมนนั้น ๆ โดยจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ TXT record ภายใน DNS (Domain Name System) ของโดเมนนั้น


SPF กับความเชื่อมโยงกับโดเมนเนม

  • การระบุตัวตน: SPF ช่วยให้ผู้รับอีเมลตรวจสอบยืนยันได้ว่าอีเมลที่ได้รับมาจากโดเมนของคุณนั้นเป็นของจริงหรือไม่
  • ป้องกันการปลอมแปลง: เมื่อมีการปลอมแปลงอีเมลโดยใช้ชื่อโดเมนของคุณ SPF จะช่วยตรวจจับและป้องกันไม่ให้อีเมลปลอมเหล่านั้นเข้าถึงกล่องจดหมายของผู้รับ
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เมื่ออีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล ทำให้ผู้รับอีเมลมีความมั่นใจว่าอีเมลนั้นปลอดภัย

ความสำคัญของ SPF เกี่ยวกับ Security

SPF มีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอีเมลและโดเมนของคุณ ดังนี้:

  • ป้องกันการโจมตี: SPF ช่วยป้องกันการโจมตีประเภทต่างๆ เช่น ฟิชชิง (Phishing) สแปม (Spam) และการโจมตีแบบปลอมแปลงอีเมล (Email Spoofing)
  • ปกป้องแบรนด์: การป้องกันการปลอมแปลงอีเมลจะช่วยปกป้องชื่อเสียงและแบรนด์ของคุณ
  • ป้องกันการสูญเสียข้อมูล: การโจมตีทางอีเมลอาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ ดังนั้น SPF จึงช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูล
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล: เมื่อผู้รับอีเมลเห็นว่าอีเมลของคุณมี SPF record ที่ถูกต้อง จะมีความเชื่อมั่นในอีเมลของคุณมากขึ้น

ตัวอย่างการตั้งค่า SPF (Sender Policy Framework)

SPF เป็นระบบที่ใช้ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดได้รับอนุญาตให้ส่งอีเมลในนามโดเมนของคุณ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

รูปแบบทั่วไปของ SPF record

v=spf1 include:spf.provider.com ~all
  • v=spf1: ระบุว่านี่คือระเบียน SPF
  • include:spf.provider.com: อ้างอิงไปยังระเบียน SPF ของผู้ให้บริการอีเมลของคุณ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365)
  • ~all: ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าของ all
  • ค่า ~all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธ แต่ยังสามารถส่งอีเมลได้ แต่จะถูกทำเครื่องหมายว่าเป็น "soft fail"
  • ค่า -all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และอีเมลจะถูกปฏิเสธ
  • ค่า ?all: หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้จะถูกส่งไปยังสถานะ "neutral" ซึ่งหมายความว่าผู้รับอีเมลจะตัดสินใจเอง

บทสรุป SPF เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอีเมลและโดเมนของคุณ การตั้งค่า SPF ที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมล เพิ่มความน่าเชื่อถือของอีเมล และปกป้องแบรนด์ของคุณ

หากคุณต้องการตั้งค่า SPF สำหรับโดเมนของคุณ ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้ให้บริการโดเมนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอีเมล เพื่อให้ได้การตั้งค่าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับระบบของคุณ


คำแนะนำเพิ่มเติม

นอกจาก SPF แล้ว ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของอีเมล เช่น 
  • DKIM (DomainKeys Identified Mail)
  • DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting & Conformance) 

ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกัน จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการป้องกันการปลอมแปลงอีเมลได้อย่างดี เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอีเมล

10 อาชีพ Sales สายเทคโนโลยี รายได้งาม

Sales Tech
อีกหนึ่งอาชีพสำหรับคนสาย Sale  

อาชีพ Sales ในสายงานเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความท้าทายและให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็นการขายซอฟต์แวร์ (Software), โซลูชันระบบคลาวด์ (Cloud Solutions), ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity), หรือเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ความสามารถในการขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในตลาดปัจจุบัน 

นอกจากทักษะการเจรจาต่อรองและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว Sales ที่มีความรู้ทางเทคนิคสามารถทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดี อาชีพนี้ไม่เพียงแค่สร้างรายได้สูงแต่ยังเปิดโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย


10 อาชีพในสายงาน Sales สายเทคโนโลยี 

1. Cloud Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน Cloud เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, และ Google Cloud Platform ให้กับบริษัทที่ต้องการย้ายระบบขึ้น Cloud หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน IT
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ Cloud Computing, ความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า, ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ SaaS, IaaS และ PaaS

2. Cybersecurity Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันการรักษาความปลอดภัย เช่น Antivirus, Firewall, SIEM (Security Information and Event Management) ให้กับองค์กรที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลและระบบ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เรื่อง IT Security, แนวโน้มด้าน Cybersecurity, การประเมินความเสี่ยง, และการเข้าใจมาตรการความปลอดภัย (เช่น ISO 27001, GDPR)

3. Software as a Service (SaaS) Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ที่เป็นบริการ (SaaS) เช่น CRM (Customer Relationship Management), ERP (Enterprise Resource Planning) หรือซอฟต์แวร์บริหารจัดการโครงการ (Project Management Software)
  • ความรู้ที่ควรมี: ทักษะการสื่อสาร, ความเข้าใจใน Business Process ของลูกค้า, ความสามารถในการสาธิตการใช้งานซอฟต์แวร์

4. Artificial Intelligence (AI) & Machine Learning Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน AI และ Machine Learning เช่น Chatbots, Data Analytics Platforms และ Predictive Analytics ให้กับธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI/ML, Data Science, การวิเคราะห์ข้อมูล, และความสามารถในการอธิบายเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย

5. Enterprise Software Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในองค์กร เช่น SAP, Oracle หรือ Microsoft Dynamics ที่ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน, ทรัพยากรมนุษย์, Supply Chain
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจในกระบวนการธุรกิจ, ประสบการณ์การขาย B2B, และทักษะการเจรจาในระดับองค์กร

6. IT Hardware Sales
  • รายละเอียด: ขายอุปกรณ์ IT เช่น Servers, Networking Equipment, Data Storage Solutions และอุปกรณ์ IoT ให้กับองค์กรที่ต้องการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี Hardware, การประเมินโครงสร้างพื้นฐาน IT ของลูกค้า, ทักษะการขายและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

7. FinTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันทางการเงิน เช่น Payment Gateways, Digital Wallets, และแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ให้กับสถาบันการเงินและธุรกิจต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเรื่องการเงินและธนาคาร, เทคโนโลยี FinTech, การปฏิบัติตามกฎหมายด้านการเงิน (เช่น AML, KYC)

8. EdTech Sales
  • รายละเอียด: ขายเทคโนโลยีด้านการศึกษา เช่น e-Learning Platforms, Virtual Classrooms, และระบบบริหารจัดการการเรียนการสอน (LMS) ให้กับสถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรม, การเข้าใจปัญหาและความต้องการของสถานศึกษา, การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน

9. HealthTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันด้านสุขภาพ เช่น Telemedicine Platforms, Wearable Health Devices, และ Electronic Health Records (EHR) Systems ให้กับโรงพยาบาลและคลินิก
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับวงการ Healthcare, การวิเคราะห์ความต้องการของสถานพยาบาล, กฎระเบียบด้านสุขภาพ (เช่น HIPAA)

10. Digital Marketing Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายเครื่องมือการตลาดดิจิทัล เช่น SEO Tools, Social Media Management Platforms, และ Marketing Automation Solutions ให้กับบริษัทที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจด้านการตลาดดิจิทัล, การใช้ SEO, SEM, และการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด, ทักษะการทำ Presentation

ทักษะเพิ่มเติมที่ควรมีสำหรับงาน Sales ในสาย Tech

  • ทักษะการนำเสนอ (Presentation Skills): เพื่อดึงดูดและสร้างความสนใจให้กับลูกค้า
  • ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills): เพื่อปิดการขายและสร้างข้อตกลงที่เป็นประโยชน์
  • ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Savvy): การเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
  • ทักษะการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM Skills): การใช้งานเครื่องมือ CRM เช่น Salesforce เพื่อบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • การเรียนรู้และปรับตัว (Adaptability): การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

บทสรุป การเข้าสู่อาชีพเหล่านี้ต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน แต่เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้สูงและมีความท้าทายที่น่าตื่นเต้นในโลกของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง

20 โปรแกรมบน Windows น่าใช้มาก

Windows programs

การเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญที่เปิดโอกาสให้เราพัฒนาตนเองทั้งในด้านความรู้ ความคิด และทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์หรือการศึกษาในห้องเรียน ทุกครั้งที่เราได้เรียนรู้ เราจะสามารถรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ได้ดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง และเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องยังช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้เราพบวิธีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่ในระดับบุคคล การเรียนรู้ยังสามารถสร้างประโยชน์ในวงกว้าง ทั้งในสังคมและในที่ทำงาน ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต

Windows มาพร้อมกับโปรแกรมและฟีเจอร์ที่ติดตั้งมาให้ใช้งานได้ทันที ซึ่งหลายโปรแกรมอาจไม่ค่อยได้รับความสนใจ ทั้งๆ ที่มีประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความสะดวกสบาย


20 โปรแกรมที่มาพร้อมกับ Windows น่าใช้มาก

1. Sticky Notes

  • รายละเอียด: เป็นโปรแกรมจดบันทึกที่เหมือนโพสต์อิท ทำให้สามารถเขียนบันทึกสั้นๆ และติดไว้บนหน้าจอได้
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Sticky Notes" แล้วสร้างบันทึกใหม่ กดปุ่มบวกเพื่อเพิ่มโน้ต


2. Snipping Tool (หรือ Snip & Sketch ใน Windows 10/11)

  • รายละเอียด: โปรแกรมจับภาพหน้าจอที่ให้คุณเลือกถ่ายบางส่วนของหน้าจอหรือแบบเต็มจอ
  • วิธีใช้งาน: กดปุ่ม Windows + Shift + S เพื่อเลือกพื้นที่ที่ต้องการจับภาพ


3. Quick Assist

  • รายละเอียด: ใช้ในการแชร์หน้าจอหรือขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นผ่านการเชื่อมต่อระยะไกล
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Quick Assist" เลือกให้ความช่วยเหลือหรือรับความช่วยเหลือ


4. Windows Defender Security Center

  • รายละเอียด: เครื่องมือตรวจสอบและป้องกันไวรัสในตัว ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเพิ่มเติม
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Windows Security" เพื่อตรวจสอบสภาพความปลอดภัยของระบบ


5. Alarms & Clock

  • รายละเอียด: โปรแกรมสำหรับตั้งปลุก นาฬิกาจับเวลา และนาฬิกาทั่วโลก
  • วิธีใช้งาน: เปิดจาก Start > พิมพ์ "Alarms & Clock" แล้วตั้งปลุกหรือนาฬิกาจับเวลา


6. Voice Recorder

  • รายละเอียด: เครื่องมือบันทึกเสียงอย่างง่าย โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม
  • วิธีใช้งาน: เปิดจาก Start > พิมพ์ "Voice Recorder" แล้วกดปุ่มบันทึกเพื่อเริ่มการบันทึกเสียง


7. Steps Recorder

  • รายละเอียด: โปรแกรมที่ใช้บันทึกขั้นตอนการใช้งานต่างๆ บน Windows เหมาะสำหรับส่งข้อมูลปัญหาหรือข้อผิดพลาดให้ฝ่ายสนับสนุน
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Steps Recorder" แล้วกดเริ่มบันทึกการใช้งาน


8. Magnifier

  • รายละเอียด: เครื่องมือขยายหน้าจอ เพื่อช่วยให้มองเห็นรายละเอียดที่เล็กเกินไปได้ง่ายขึ้น
  • วิธีใช้งาน: กด Windows + ปุ่มบวก (+) เพื่อขยายหน้าจอ หรือปรับระดับการขยายจากตัวโปรแกรม


9. Game Bar

  • รายละเอียด: โปรแกรมช่วยอัดวิดีโอหน้าจอและถ่ายภาพหน้าจอสำหรับการเล่นเกม
  • วิธีใช้งาน: กด Windows + G เพื่อเปิด Game Bar แล้วกดปุ่มอัดวิดีโอหรือถ่ายภาพ


10. Windows Photo Viewer (หรือ Photos ใน Windows 10/11)

  • รายละเอียด: โปรแกรมดูและแก้ไขรูปภาพที่มาพร้อมกับ Windows สามารถปรับสีและแสงได้เบื้องต้น
  • วิธีใช้งาน: คลิกขวาที่รูปภาพ > Open with > Photos


11. Paint

  • รายละเอียด: โปรแกรมวาดภาพแบบพื้นฐานที่มาพร้อมกับ Windows
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Paint" แล้วเริ่มวาดรูปหรือแก้ไขภาพง่ายๆ ได้ทันที


12. Character Map

  • รายละเอียด: โปรแกรมสำหรับดูและคัดลอกตัวอักษรพิเศษที่ไม่อยู่บนแป้นพิมพ์
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Character Map" แล้วเลือกตัวอักษรที่ต้องการใช้


13. Disk Cleanup

  • รายละเอียด: เครื่องมือสำหรับลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจากระบบ ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูล
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Disk Cleanup" เลือกไดรฟ์ที่ต้องการล้าง แล้วเลือกรายการไฟล์ที่ต้องการลบ


14. Storage Sense

  • รายละเอียด: ฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการพื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์โดยลบไฟล์ชั่วคราวหรือไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งาน
  • วิธีใช้งาน: ไปที่ Settings > System > Storage แล้วเปิดใช้งาน Storage Sense


15. WordPad

  • รายละเอียด: โปรแกรมประมวลผลคำแบบพื้นฐานที่สามารถแก้ไขไฟล์ข้อความได้หลากหลายรูปแบบ
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "WordPad" แล้วเริ่มพิมพ์หรือเปิดไฟล์เพื่อแก้ไข


16. Event Viewer

  • รายละเอียด: ใช้ดูและบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบ เหมาะสำหรับการตรวจสอบปัญหา
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Event Viewer" เพื่อตรวจสอบบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ


17. Task Scheduler

  • รายละเอียด: โปรแกรมจัดการตารางงานที่ช่วยให้คุณตั้งเวลาให้โปรแกรมหรือสคริปต์ทำงานอัตโนมัติ
  • วิธีใช้งาน: กด Start > พิมพ์ "Task Scheduler" แล้วสร้างตารางงานใหม่


18. Windows Sandbox (Windows 10 Pro/Enterprise)

  • รายละเอียด: สภาพแวดล้อมการทำงานแบบเสมือนที่สามารถทดสอบโปรแกรมหรือไฟล์ที่ไม่เชื่อถือได้
  • วิธีใช้งาน: เปิดใช้งานผ่าน Windows Features แล้วกด Start > พิมพ์ "Windows Sandbox" เพื่อเริ่มใช้งาน


19. Power Automate Desktop

  • รายละเอียด: โปรแกรมสำหรับการทำงานอัตโนมัติ เช่น การคลิกปุ่มหรือตอบกลับอีเมล
  • วิธีใช้งาน: ดาวน์โหลดจาก Microsoft Store แล้วเริ่มสร้างกระบวนการทำงานอัตโนมัติ


20. Clipboard History

  • รายละเอียด: ฟีเจอร์ที่เก็บประวัติของสิ่งที่คัดลอกมาแล้ว ทำให้สามารถวางข้อมูลจากประวัติได้
  • วิธีใช้งาน: กด Windows + V เพื่อดูและเลือกวางข้อมูลจากประวัติคัดลอก


บทสรุป โปรแกรมและฟีเจอร์เหล่านี้อาจถูกมองข้าม แต่เมื่อเรียนรู้การใช้งานแล้วจะช่วยเพิ่มความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณได้ ไม่เชื่อ คงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง

EDR และ XDR กับระบบความปลอดภัย

Computer Security

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสนใจ 

ระบบความปลอดภัยเป็นกลไกที่ใช้ในการป้องกันข้อมูลจากการโจมตี การแฮ็ก หรือการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการรักษาความปลอดภัยที่ดีนั้นควรมีการป้องกันหลายระดับ เช่น การใช้รหัสผ่านที่แข็งแรง การติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส รวมถึงการตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติ 

ในด้านองค์กรธุรกิจ ระบบความปลอดภัยจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเพราะต้องป้องกันภัยคุกคามที่เข้ามาจากหลายช่องทาง ระบบที่น่าสนใจคือ EDR (Endpoint Detection and Response) ซึ่งตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามเฉพาะในอุปกรณ์ปลายทาง และ XDR (Extended Detection and Response) ที่เพิ่มการตรวจจับจากทุกระบบ เช่น เครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์ เพื่อมอบการป้องกันภัยที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบ EDR & XDR

คุณสมบัติ EDR (Endpoint Detection and Response) XDR (Extended Detection and Response)
ขอบเขตการป้องกัน อุปกรณ์ปลายทาง (Endpoints) เช่น คอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์ปลายทาง + อีเมล, เครือข่าย, คลาวด์ และแอปพลิเคชัน
การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุปกรณ์ปลายทาง วิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อให้ภาพรวมที่ครอบคลุม
การตรวจจับภัยคุกคาม ตรวจจับพฤติกรรมที่เป็นอันตรายบนอุปกรณ์ปลายทาง ตรวจจับภัยคุกคามจากข้อมูลหลายระบบและวิเคราะห์ร่วมกัน
การตอบสนองอัตโนมัติ ดำเนินการตอบสนองภัยคุกคามเฉพาะที่อุปกรณ์ปลายทาง ตอบสนองภัยคุกคามได้ทั่วทั้งระบบไอที
การรวมข้อมูล รวมข้อมูลเฉพาะจากอุปกรณ์ปลายทาง รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น SIEM, Firewall, Email Security
การตรวจสอบย้อนหลัง มีการบันทึกและวิเคราะห์ย้อนหลังของอุปกรณ์ปลายทาง วิเคราะห์ย้อนหลังและเชื่อมโยงเหตุการณ์จากหลายแหล่ง
การป้องกันแบบเรียลไทม์ ป้องกันภัยคุกคามบนอุปกรณ์ปลายทางแบบเรียลไทม์ ป้องกันภัยคุกคามแบบเชื่อมโยงข้ามระบบแบบเรียลไทม์
เหมาะสำหรับ องค์กรที่ต้องการปกป้องอุปกรณ์ปลายทางเป็นหลัก องค์กรที่ต้องการการป้องกันแบบบูรณาการข้ามแพลตฟอร์ม


ในท้องตลาด มีหลายแบรนด์ที่ให้บริการโซลูชัน EDR และ XDR ซึ่งมีคุณสมบัติและความสามารถที่เหมาะสมกับองค์กรหลากหลายประเภท มาดูตัวอย่างแบรนด์และชื่อรุ่นที่น่าสนใจได้ดังนี้


โซลูชัน EDR ที่แนะนำ

1. CrowdStrike Falcon Endpoint Protection  

  • รายละเอียด: โซลูชัน EDR ระดับสูงที่เน้นการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ โดยใช้ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของภัยคุกคาม
  • จุดเด่น: มีการติดตามกิจกรรมของอุปกรณ์ปลายทางอย่างละเอียดและการแจ้งเตือนภัยที่แม่นยำ

   
2. Microsoft Defender for Endpoint  

  • รายละเอียด: EDR ที่รวมเข้ากับโซลูชันความปลอดภัยของ Microsoft โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยบนระบบปฏิบัติการ Windows เป็นหลัก
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้ Windows อยู่แล้ว มีความเข้ากันได้ดีกับแพลตฟอร์ม Microsoft 365 และ Azure


3. Symantec Endpoint Detection and Response (Broadcom)  

  • รายละเอียด: โซลูชัน EDR ที่เน้นความสามารถในการตรวจจับพฤติกรรมที่เป็นอันตรายและการกู้คืนระบบหลังเกิดเหตุ
  • จุดเด่น: การทำงานที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมระบบปฏิบัติการหลายประเภท


4. SentinelOne Singularity  

  • รายละเอียด: โซลูชัน EDR ที่ใช้ AI และ Automation ในการตรวจจับพฤติกรรมภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาฐานข้อมูลของมัลแวร์
  • จุดเด่น: มีการตอบสนองภัยคุกคามได้อัตโนมัติ ลดภาระการทำงานของทีม IT 


5. Sophos Intercept X with EDR

  • รายละเอียด: โซลูชัน EDR ที่มาพร้อมกับการป้องกันภัยคุกคามขั้นสูงด้วย Deep Learning AI และการวิเคราะห์พฤติกรรมในอุปกรณ์ปลายทาง สามารถตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามในระดับสูงได้อย่างรวดเร็ว
  • จุดเด่น: มีฟีเจอร์ Live Discover ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นในอุปกรณ์ปลายทางแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำ


โซลูชัน XDR ที่แนะนำ

1. Palo Alto Networks Cortex XDR  

  • รายละเอียด: XDR ที่รวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ในระบบ เพื่อตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง
  • จุดเด่น: สามารถรวบรวมข้อมูลจากเครือข่าย คลาวด์ อุปกรณ์ปลายทาง และมีการวิเคราะห์ภัยคุกคามในเชิงลึก


2. Trend Micro Vision One  

  • รายละเอียด: โซลูชัน XDR ที่สามารถวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอีเมล คลาวด์ อุปกรณ์ปลายทาง และเครือข่ายในแพลตฟอร์มเดียว
  • จุดเด่น: การจัดการภัยคุกคามแบบข้ามแพลตฟอร์ม และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมภัยคุกคามแบบละเอียด


3. Microsoft 365 Defender  

  • รายละเอียด: โซลูชัน XDR ที่ทำงานร่วมกับ Microsoft Defender for Endpoint และ Microsoft Cloud เพื่อตรวจจับภัยคุกคามจากแหล่งต่างๆ ในระบบที่ใช้ Microsoft
  • จุดเด่น: ความสามารถในการเชื่อมต่อและวิเคราะห์ภัยคุกคามจากระบบที่ใช้งาน Microsoft 365 และ Azure


4. FireEye Helix (Trellix)  

  • รายละเอียด: โซลูชัน XDR ที่มีจุดเด่นในการวิเคราะห์และตรวจสอบภัยคุกคาม รวมถึงการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบครอบคลุม มีการใช้งานง่ายและมีการแจ้งเตือนที่แม่นยำ


5. Sophos XDR

  • รายละเอียด: โซลูชัน XDR ที่พัฒนามาจาก Intercept X โดยรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งในระบบ เช่น อุปกรณ์ปลายทาง เครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ และอีเมล ซึ่งทำให้สามารถตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามได้แบบข้ามแพลตฟอร์ม
  • จุดเด่น: มีฟีเจอร์ Live Response ที่ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถควบคุมและตอบสนองต่อภัยคุกคามได้จากระยะไกล พร้อมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามระบบเพื่อให้มองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ดียิ่งขึ้น


บทสรุป สำหรับองค์กรขนาดเล็กถึงกลางที่มีงบจำกัด CrowdStrike หรือ Microsoft Defender for Endpoint อาจเป็นตัวเลือกที่ดีในด้าน EDR

สำหรับองค์กรที่ต้องการ XDR เพื่อดูแลความปลอดภัยแบบองค์รวม Palo Alto Networks Cortex XDR หรือ Trend Micro Vision One จะช่วยให้ได้ภาพรวมความปลอดภัยที่ครอบคลุม

ปรับ Windows Firewall ให้ปลอดภัยสุดๆ

Windows Firewall

ในยุคดิจิทัลที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows คือ Windows Firewall

Windows Firewall ทำหน้าที่ป้องกันการเชื่อมต่อที่ไม่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากแฮกเกอร์หรือมัลแวร์ การตั้งค่า Firewall อย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มระดับการป้องกันให้คอมพิวเตอร์ของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยควบคุมแอปพลิเคชันและการสื่อสารในเครือข่ายให้เป็นไปตามที่คุณกำหนด 

การปรับแต่ง Firewall อย่างถูกต้องจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพยากรในระบบของคุณ บทความนี้จะช่วยแนะนำวิธีตั้งค่า Windows Firewall ให้เหมาะสมที่สุด เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยสูงสุดสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ


ประโยชน์ของ Windows Firewall  

1. ป้องกันการเข้าถึงจากบุคคลภายนอก  
  • ช่วยบล็อกการเชื่อมต่อที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือเป็นอันตรายจากอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายภายใน  

2. ควบคุมแอปพลิเคชัน  
  • สามารถกำหนดได้ว่าแอปพลิเคชันใดมีสิทธิ์เชื่อมต่อกับเครือข่าย  

3. ป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสและมัลแวร์  
  • ช่วยลดความเสี่ยงที่ไวรัสหรือมัลแวร์จะเข้าถึงเครือข่ายและอุปกรณ์อื่นๆ  

4. ปรับแต่งกฎการใช้งานเครือข่าย  
  • สามารถตั้งค่ากฎเฉพาะสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายได้ เช่น การอนุญาตหรือบล็อกพอร์ต  


วิธีการตั้งค่า Windows Firewall ให้ปลอดภัยที่สุด  

Windows Firewall

1. เปิดใช้งาน Windows Firewall  
  • ไปที่ Settings > Update & Security > Windows Security > Firewall & network protection  
  • เลือกเปิด Firewall สำหรับทั้ง Public และ Private networks  

2. กำหนดค่าแอปพลิเคชันที่อนุญาต  
  • ไปที่ Allow an app through Firewall  
  • เลือกเฉพาะแอปพลิเคชันที่จำเป็นเท่านั้น  

3. บล็อกการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น  
  • ไปที่ Advanced settings  
  • เลือก Inbound Rules และ Outbound Rules เพื่อสร้างกฎที่บล็อกการเชื่อมต่อพอร์ตหรือแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องการ  

4. เปิดใช้งานการแจ้งเตือน  
  • ในหน้าต่าง Firewall & network protection ให้เปิดการแจ้งเตือนเมื่อมีแอปพลิเคชันที่ต้องการการอนุญาต  

5. อัปเดตกฎและตรวจสอบการตั้งค่าอย่างสม่ำเสมอ  
  • ตรวจสอบว่า Windows Firewall ยังคงเปิดใช้งานอยู่  
  • อัปเดตซอฟต์แวร์ Windows และแอปพลิเคชันเพื่อความปลอดภัยสูงสุด  

6. ใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส  
  • Windows Firewall ควรทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส เช่น Windows Defender หรือโปรแกรมอื่น เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่หลากหลาย  

บทสรุป การตั้งค่า Windows Firewall อย่างถูกต้องช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบของคุณ แต่ควรใช้งานร่วมกับการปฏิบัติที่ดี เช่น การหลีกเลี่ยงเว็บไซต์หรือไฟล์ที่น่าสงสัย และการตั้งค่ารหัสผ่านที่ปลอดภัยสำหรับเครือข่ายของคุณด้วย

แก้ปัญหาจอฟ้า Blue Screen of Death (BSOD)

จอฟ้าหรือ Blue Screen of Death (BSOD) คืออะะไร

Bluescreen computer

เป็นข้อผิดพลาดของระบบปฏิบัติการ Windows ที่เกิดขึ้นเมื่อระบบไม่สามารถดำเนินการต่อได้อีกต่อไปเนื่องจากพบข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ไม่สามารถกู้คืนได้ ทำให้ระบบต้องหยุดทำงานเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม