ไวรัสเรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware คือประเภทของมัลแวร์ (Malware) ที่ออกแบบมาเพื่อเข้ารหัสไฟล์หรือระบบของเหยื่อ และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกไฟล์หรือระบบเหล่านั้น ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส ส่วนใหญ่จะไม่สามารถถอดรหัสได้ด้วยตัวเรา ต้องให้ผู้ที่เข้ารหัสเท่านั้น
Ransomware มักจะแพร่กระจายผ่านช่องทาง
- อีเมลฟิชชิ่ง
Phishing หรืออีเมลหลอกลวงให้ผู้ใช้คลิกลิงก์ หรือไฟล์แนบ (Attached file) ในอีเมลที่ดูเหมือนว่ามาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการหลอกลวง - การดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย
ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์หรือไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่น่าเชื่อถือ - การใช้ช่องโหว่ของซอฟต์แวร์
การโจมตีผ่านช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือแพตช์ - การใช้ USB หรืออุปกรณ์ที่สามารถติดไวรัส
เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ติดไวรัสเข้ากับคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างอุปกรณ์เช่น แฟลชไดร์ฟ, ฮาร์ดดิสก์พกพา
อาการของการติด Ransomware
- ข้อความเรียกค่าไถ่
หน้าจอคอมพิวเตอร์จะขึ้นข้อความเรียกค่าไถ่ แจ้งว่าข้อมูลของคุณถูกเข้ารหัสและต้องจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก - ไฟล์ถูกเข้ารหัส
ไฟล์บนคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สามารถเปิดได้และมีนามสกุลไฟล์ที่เปลี่ยนไป เช่น .locked, .crypt, .encrypt เป็นต้น ไม่สามารถใช้คำสั่ง rename กลับมาได้ - ไฟล์สำคัญหายไป
ไฟล์สำคัญหรือไฟล์ระบบถูกลบหรือย้ายที่ไปจากตำแหน่งเดิม - การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้าลง
ระบบทำงานช้าลงอย่างผิดปกติ เนื่องจาก Ransomware กำลังเข้ารหัสไฟล์ในพื้นหลัง - แอปพลิเคชันไม่สามารถทำงานได้
แอปพลิเคชันบางตัวไม่สามารถเปิดหรือทำงานได้ตามปกติ - การเข้าถึงเว็บไซต์หรือเครือข่ายถูกบล็อก
ไม่สามารถเข้าถึงบางเว็บไซต์หรือเครือข่ายภายในองค์กร - ข้อความเตือนจากโปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัสแสดงข้อความเตือนเกี่ยวกับการตรวจพบ Ransomware - ชื่อไฟล์หรือโฟลเดอร์ถูกเปลี่ยน
ชื่อไฟล์หรือโฟลเดอร์ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อที่ไม่รู้จักหรือมีรหัสพิเศษที่แปลก
วิธีแก้ไขปัญหา เมื่อคอมพิวเตอร์ติด Ransomware
- ขั้นตอนที่ 1: ตัดการเชื่อมต่อเครือข่าย
- ตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ต: เพื่อป้องกัน Ransomware แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ในเครือข่าย
- ตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่ายท้องถิ่น: รวมถึงการตัดการเชื่อมต่อจาก Wi-Fi และ LAN
- ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์สถานการณ์
- ตรวจสอบข้อความเรียกค่าไถ่: บันทึกรายละเอียดของข้อความเรียกค่าไถ่ ซึ่งอาจช่วยในการระบุประเภทของ Ransomware
- ระบุประเภทของ Ransomware: การระบุประเภทของ Ransomware อาจช่วยหาวิธีการถอดรหัส (หากมี)
- ขั้นตอนที่ 3: ใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
- ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส: รันโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เป็นปัจจุบัน เพื่อกำจัด Ransomware
- ใช้เครื่องมือถอดรหัส (ถ้ามี): ตรวจสอบว่า Ransomware ที่ติดอยู่มีเครื่องมือถอดรหัสหรือไม่ โดยตรวจสอบจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น No More Ransom Project (https://www.nomoreransom.org)
- ขั้นตอนที่ 4: กู้ข้อมูล
- ใช้การสำรองข้อมูล: หากมีการสำรองข้อมูลที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ให้ใช้ข้อมูลสำรองเหล่านั้นในการกู้ข้อมูล
- ใช้โปรแกรมกู้ข้อมูล: หากไม่มีการสำรองข้อมูล สามารถลองใช้โปรแกรมกู้ข้อมูลเช่น Recuva, PhotoRec หรืออื่น ๆ
- ขั้นตอนที่ 5: ป้องกันในอนาคต
- สำรองข้อมูลเป็นประจำ: ใช้การสำรองข้อมูลที่เป็นระบบและบ่อยครั้ง
- อัปเดตซอฟต์แวร์: อัปเดตระบบปฏิบัติการและโปรแกรมให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ
- ระวังการเปิดไฟล์แนบและลิงก์แปลกๆ: หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบและลิงก์ที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัย
สรุป การแก้ไขปัญหาเมื่อคอมพิวเตอร์ติด Ransomware ต้องมีความระมัดระวังและเป็นขั้นเป็นตอน อย่าจ่ายค่าไถ่ให้กับผู้โจมตี เนื่องจากไม่รับประกันว่าจะได้ข้อมูลกลับมา และเป็นการส่งเสริมการโจมตีในอนาคต ควรเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไขปัญหาหลังจากเกิดเหตุ
#AntiVirus #Malware #Safety #Security