The Most/Recent Articles

แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา Analytics จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา Analytics จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด

Google Analytics 4 คืออะไร

Analytics Report

Google Analytics 4 (GA4) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัยจาก Google ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักการตลาดในยุคดิจิทัล GA4 นำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันในแพลตฟอร์มเดียวกัน 

49 ฟังก์ชันใน Excel สำหรับ Data Analytics

Data Analytics
งานด้าน Data Analytics คือการใช้เครื่องมือและเทคนิคในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาความสัมพันธ์ แนวโน้ม และข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยในการตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน โดยการจัดการกับข้อมูลดิบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและสามารถนำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์หรือแก้ปัญหาในองค์กร

ฟังก์ชันใน Excel เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานด้าน Analytics ที่ต้องการการจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ฟังก์ชันเหล่านี้ช่วยให้สามารถดำเนินการกับข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตัวอย่างเช่น 

  • การคำนวณค่าเฉลี่ย
  • การหาค่าสูงสุดและต่ำสุด
  • การค้นหาข้อมูลจากตาราง
  • การสร้างกราฟหรือรายงานที่เป็นประโยชน์ 

นอกจากนี้ ฟังก์ชันใหม่ใน Excel 365 อย่าง XLOOKUP และ FILTER เพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการจัดการข้อมูลให้มากยิ่งขึ้น การใช้ฟังก์ชันเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานด้าน Analytics ที่ประสบความสำเร็จ


Excel Functions งานด้าน Data Analytics

ชื่อฟังก์ชัน รายละเอียด วิธีการใช้งาน
SUM รวมค่าทั้งหมดในช่วงที่เลือก =SUM(A1:A10)
AVERAGE คำนวณค่าเฉลี่ยของช่วงที่เลือก =AVERAGE(A1:A10)
COUNT นับจำนวนเซลล์ที่มีค่าตัวเลขในช่วงที่เลือก =COUNT(A1:A10)
COUNTA นับจำนวนเซลล์ที่ไม่ว่างในช่วงที่เลือก =COUNTA(A1:A10)
MAX หาค่าสูงสุดในช่วงที่เลือก =MAX(A1:A10)
MIN หาค่าต่ำสุดในช่วงที่เลือก =MIN(A1:A10)
IF ตรวจสอบเงื่อนไขและคืนค่าตามเงื่อนไขนั้น =IF(A1>10, "มากกว่า 10", "น้อยกว่าหรือเท่ากับ 10")
VLOOKUP ค้นหาค่าจากตารางโดยอิงจากคีย์แนวตั้ง =VLOOKUP(A1, B1:C10, 2, FALSE)
HLOOKUP ค้นหาค่าจากตารางโดยอิงจากคีย์แนวนอน =HLOOKUP(A1, B1:C10, 2, FALSE)
INDEX ดึงค่าจากช่วงที่เลือกตามตำแหน่งที่กำหนด =INDEX(A1:C10, 2, 3)
MATCH ค้นหาค่าตามตำแหน่งในช่วงที่เลือก =MATCH(A1, B1:B10, 0)
CONCATENATE รวมข้อความจากหลายเซลล์ =CONCATENATE(A1, " ", B1)
TEXT เปลี่ยนรูปแบบของข้อความหรือหมายเลข =TEXT(A1, "0.00")
LEFT ดึงข้อความจากด้านซ้ายของเซลล์ =LEFT(A1, 5)
RIGHT ดึงข้อความจากด้านขวาของเซลล์ =RIGHT(A1, 5)
MID ดึงข้อความจากตำแหน่งกลางของเซลล์ =MID(A1, 2, 5)
TRIM ลบช่องว่างที่ไม่จำเป็นจากข้อความ =TRIM(A1)
SUBSTITUTE แทนที่ข้อความในเซลล์ด้วยข้อความใหม่ =SUBSTITUTE(A1, "เก่า", "ใหม่")
DATE สร้างวันที่จากปี, เดือน, และวัน =DATE(2024, 8, 16)
NOW คืนค่าวันที่และเวลาปัจจุบัน =NOW()
TODAY คืนค่าวันที่ปัจจุบัน =TODAY()
YEAR ดึงปีจากวันที่ =YEAR(A1)
MONTH ดึงเดือนจากวันที่ =MONTH(A1)
DAY ดึงวันจากวันที่ =DAY(A1)
HOUR ดึงชั่วโมงจากเวลา =HOUR(A1)
MINUTE ดึงนาทีจากเวลา =MINUTE(A1)
SECOND ดึงวินาทีจากเวลา =SECOND(A1)
SUMIF รวมค่าตามเงื่อนไขที่กำหนด =SUMIF(A1:A10, ">10")
COUNTIF นับจำนวนเซลล์ตามเงื่อนไขที่กำหนด =COUNTIF(A1:A10, ">10")
AVERAGEIF คำนวณค่าเฉลี่ยตามเงื่อนไขที่กำหนด =AVERAGEIF(A1:A10, ">10")
SUMIFS รวมค่าตามหลายเงื่อนไขที่กำหนด =SUMIFS(B1:B10, A1:A10, ">10", C1:C10, "<5 td="">
COUNTIFS นับจำนวนเซลล์ตามหลายเงื่อนไขที่กำหนด =COUNTIFS(A1:A10, ">10", B1:B10, "<5 td="">
AVERAGEIFS คำนวณค่าเฉลี่ยตามหลายเงื่อนไขที่กำหนด =AVERAGEIFS(B1:B10, A1:A10, ">10", C1:C10, "<5 td="">
CHOOSE เลือกค่าในรายการตามตำแหน่งที่กำหนด =CHOOSE(2, "A", "B", "C")
RAND สร้างตัวเลขสุ่มระหว่าง 0 และ 1 =RAND()
RANDBETWEEN สร้างตัวเลขสุ่มในช่วงที่กำหนด =RANDBETWEEN(1, 100)
POWER ยกกำลังตัวเลข =POWER(A1, 2)
ROUND ปัดเศษตัวเลขไปยังจำนวนหลักที่กำหนด =ROUND(A1, 2)
CEILING ปัดเศษตัวเลขไปที่จำนวนหลักที่กำหนดขึ้นไป =CEILING(A1, 1)
FLOOR ปัดเศษตัวเลขไปที่จำนวนหลักที่กำหนดลงไป =FLOOR(A1, 1)
TRUNC ตัดทอนตัวเลขโดยไม่ปัดเศษ =TRUNC(A1, 2)
PMT คำนวณการชำระเงินสินเชื่อต่อเดือน =PMT(rate, nper, pv)
NPV คำนวณมูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน =NPV(rate, value1, [value2], ...)
IRR คำนวณอัตราผลตอบแทนภายในของการลงทุน =IRR(values, [guess])
XLOOKUP ค้นหาค่าตามคีย์ในแนวนอนและแนวตั้ง (Excel 365) =XLOOKUP(A1, B1:B10, C1:C10)
UNIQUE ดึงค่าที่ไม่ซ้ำจากช่วงที่เลือก (Excel 365) =UNIQUE(A1:A10)
SORT จัดเรียงค่าตามลำดับที่กำหนด (Excel 365) =SORT(A1:A10, 1, TRUE)
FILTER กรองค่าตามเงื่อนไขที่กำหนด (Excel 365) =FILTER(A1:A10, B1:B10 > 10)
SEQUENCE สร้างลำดับของค่าตามที่กำหนด (Excel 365) =SEQUENCE(10, 1, 1, 1)

บทสรุป Excel ฟังก์ชันเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การจัดการข้อมูลและการตัดสินใจเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ทดลองใช้งานฟังก์ชันเหล่านี้วันนี้ เพื่อยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลของคุณ!

ใครอยากทำงานตำแหน่งงาน Data Analytics แต่ต้องรักเกี่ยวกับ "ตัวเลข" แนะนำให้เริ่มเรียนรู้ และใช้งาน Functions Excel ข้างต้นให้ชำนาญ รับรอง หางานได้ไม่ยาก แถมเงินเดือนดี


#Office #MicrosoftOffice #FucntionsExcel

เครื่องมือคู่ใจคนทำเว็บจาก Google

Web Tools
เครื่องมือจาก Google สำหรับการพัฒนาเว็บไซต์มีบทบาทสำคัญในการสร้างและปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เครื่องมือเช่น Google Analytics ช่วยในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ ทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้ดียิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมี Google Search Console ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ SEO,  Google PageSpeed Insights วิเคราะห์ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ส่วน Google Tag Manager ช่วยในการจัดการแท็กติดตามและโค้ดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การพัฒนาและการดูแลเว็บไซต์มีความง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น, ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เครื่องมือสำหรับคนทำเว็บ ต้องรู้จัก

1. Google Analytics

รายละเอียด
Google Analytics เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้ใช้, พฤติกรรม, และการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชม

ฟังก์ชันหลัก
  • ติดตามผู้เข้าชม: ดูจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, แหล่งที่มาของการเข้าชม (เช่น การค้นหาทาง Google หรือการเข้าชมจากโซเชียลมีเดีย)
  • วิเคราะห์พฤติกรรม: วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น หน้าที่พวกเขาเข้าชม, ระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละหน้า
  • ติดตามเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายและติดตามการดำเนินการที่สำคัญ เช่น การสมัครสมาชิก หรือการทำธุรกรรม

วิธีใช้งาน
  • 1. ลงทะเบียนบัญชี Google Analytics และสร้างโปรเจกต์
  • 2. ติดตั้งรหัสติดตาม (Tracking Code) บนเว็บไซต์ของคุณ
  • 3. เข้าสู่ระบบ Google Analytics และสำรวจแดชบอร์ดเพื่อดูรายงานและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  • 4. ใช้ข้อมูลที่ได้รับในการปรับปรุงการทำงานและประสิทธิภาพของเว็บไซต์


2. Google Search Console

รายละเอียด
Google Search Console (เดิมชื่อ Google Webmaster Tools) คือเครื่องมือที่ช่วยในการตรวจสอบการแสดงผลเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google และช่วยในการปรับปรุง SEO มีคำแนะนำส่งผ่านไปยังอีเมลผู้ติดตั้งได้โดยตรง

ฟังก์ชันหลัก
  • ตรวจสอบปัญหา SEO: ดูข้อผิดพลาดการสแกน, ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมือถือ, และปัญหาอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับ
  • ดูคำค้นหาที่ใช้: วิเคราะห์คำค้นหาที่ผู้ใช้ใช้ในการค้นหาเว็บไซต์ของคุณ
  • ส่งแผนผังเว็บไซต์: ส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ให้ Google เพื่อให้การจัดทำดัชนีทำงานได้ดีขึ้น

วิธีใช้งาน
  • 1. ลงทะเบียนบัญชี Google Search Console และเพิ่มเว็บไซต์ของคุณ
  • 2. ยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์ โดยใช้วิธีที่แนะนำ เช่น การเพิ่มไฟล์ HTML
  • 3. ตรวจสอบข้อมูลการสแกน, การแสดงผลในผลการค้นหา และส่งแผนผังเว็บไซต์
  • 4. ใช้ข้อมูลที่ได้รับในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์


3. Google PageSpeed Insights

รายละเอียด
Google PageSpeed Insights วิเคราะห์ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและให้ข้อเสนอแนะแบบเจาะลึกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

ฟังก์ชันหลัก
  • วิเคราะห์ความเร็ว: ตรวจสอบเวลาที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บและให้คะแนนความเร็ว
  • คำแนะนำในการปรับปรุง: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุง เช่น การบีบอัดภาพ, การลดขนาดไฟล์, หรือการใช้การจัดเก็บข้อมูล (Caching)

วิธีใช้งาน
  • 1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Google PageSpeed Insights
  • 2. ป้อน URL ของหน้าเว็บที่ต้องการตรวจสอบ
  • 3. คลิก “Analyze” และรอให้การวิเคราะห์เสร็จสิ้น
  • 4. ดูรายงานและคำแนะนำในการปรับปรุง และทำตามข้อเสนอแนะแต่ละข้อ

4. Google Tag Manager

รายละเอียด
Google Tag Manager ช่วยในการจัดการแท็ก (Tag) ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เช่น แท็กการติดตามและการวิเคราะห์ โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดของเว็บไซต์โดยตรง

ฟังก์ชันหลัก
  • จัดการแท็ก: เพิ่ม, แก้ไข, หรือลบแท็กที่ใช้ในการติดตามและการตลาด
  • ปรับแต่งการติดตาม: ตั้งค่าการติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การคลิกปุ่มหรือการส่งฟอร์ม

วิธีใช้งาน
  • 1. ลงทะเบียนบัญชี Google Tag Manager และสร้างคอนเทนเนอร์
  • 2. ติดตั้งโค้ด Google Tag Manager บนเว็บไซต์ของคุณ
  • 3. สร้างและกำหนดแท็กต่าง ๆ เช่น Google Analytics หรือ AdWords Conversion Tracking
  • 4. ใช้การทดสอบ (Preview Mode) เพื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างทำงานได้ตามที่คาดหวัง
  • 5. เผยแพร่การเปลี่ยนแปลงเมื่อทุกอย่างทำงานถูกต้อง

5. Google Maps

รายละเอียด
Google Maps เป็นบริการแผนที่ออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสถานที่, แสดงเส้นทาง, และดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Google Maps API ในการแสดงแผนที่บนเว็บไซต์และเพิ่มฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง

ฟังก์ชันหลัก
  • แสดงแผนที่: แสดงแผนที่ที่สามารถปรับแต่งได้บนเว็บไซต์ของคุณ
  • ค้นหาสถานที่: ให้ผู้ใช้ค้นหาสถานที่และดูข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นั้น
  • แสดงเส้นทาง: ให้ผู้ใช้ดูเส้นทางการเดินทางจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง
  • สถานที่ใกล้เคียง: แสดงข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ใกล้เคียง เช่น ร้านอาหาร, โรงแรม, หรือบริการอื่น ๆ

เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้นทั้งในด้านความเร็ว, SEO, และการวิเคราะห์ข้อมูล


#Website #SEO #WebTools

เทคนิคใช้ SEO ทำการตลาดออนไลน์

Online Marketing

สำหรับผู้ที่มีเว็บไซต์ การใช้เครื่องมือ SEO (Search Engine Optimization) สำหรับการตลาดออนไลน์เป็นวิธีที่สำคัญในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google  

Looker Studio สุดยอดเครื่องมือทำรายงาน

Looker Studio
Looker Studio คืออะไร?

Looker Studio (เดิมชื่อ Google Data Studio) เป็นเครื่องมือจาก Google สำหรับการสร้าง รายงาน และ แดชบอร์ด แบบโต้ตอบ (interactive) ซึ่งช่วยวิเคราะห์และแสดงผลข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ข้อมูล ธุรกิจทุกขนาด หรือผู้ที่ต้องการสื่อสารข้อมูลเชิงลึกอย่างมีประสิทธิภาพ


คุณสมบัติเด่นของ Looker Studio

  • รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง: รองรับแหล่งข้อมูลกว่า 800 ประเภท เช่น Google Analytics, Google Ads, BigQuery, และฐานข้อมูล SQL
  • ออกแบบรายงานได้ตามต้องการ: เลือกรูปแบบกราฟ ตาราง และตัวชี้วัด (metrics) ที่เหมาะกับเป้าหมาย
  • ใช้งานง่าย: มีอินเทอร์เฟซลาก-วาง (drag-and-drop) พร้อมแม่แบบ (templates) ให้เลือกใช้งาน
  • แชร์รายงานได้สะดวก: สามารถแชร์รายงานผ่านลิงก์หรือฝัง (embed) ลงในเว็บไซต์


Looker Studio น่าใช้แค่ไหน?

Sample Dashboard Looker Studio
Looker Studio เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการวิเคราะห์ข้อมูลแบบมืออาชีพโดยไม่ต้องลงทุนสูงในซอฟต์แวร์ มีจุดเด่นที่การเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์และเครื่องมือการออกแบบที่ช่วยให้ผู้ใช้ทุกระดับเข้าใจได้ง่าย เหมาะสำหรับ
  • ผู้เริ่มต้นที่ต้องการเรียนรู้การวิเคราะห์ข้อมูล
  • ทีมการตลาดที่ต้องวัดผลแคมเปญ
  • ธุรกิจที่ต้องการติดตามตัวชี้วัดสำคัญ

วิธีการใช้งาน Looker Studio เบื้องต้นอย่างละเอียด  

1. เริ่มต้นใช้งาน
  • เข้าเว็บไซต์: ไปที่ [Looker Studio](https://lookerstudio.google.com) ผ่านเบราว์เซอร์  
  • ลงชื่อเข้าใช้: ใช้บัญชี Google ที่คุณมีอยู่ หากไม่มีบัญชี ให้สมัครที่ [accounts.google.com](https://accounts.google.com)  
  • หน้าแรก: เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว คุณจะเห็นหน้า Home ซึ่งจะแสดงรายงานที่คุณสร้างไว้ก่อนหน้านี้ (ถ้ามี) หรือปุ่มสำหรับเริ่มสร้างรายงานใหม่  

2. เชื่อมต่อข้อมูล

การเชื่อมต่อข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะ Looker Studio ดึงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อสร้างรายงาน  

เลือก "Data Source"
  • คลิกที่ปุ่ม Create บริเวณมุมขวาบนของหน้าจอ แล้วเลือก Data Source  
เลือกแหล่งข้อมูล  
Looker Studio รองรับแหล่งข้อมูลมากมาย เช่น  
  • Google Analytics: ใช้สำหรับติดตามผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์  
  • Google Sheets: ดึงข้อมูลจากไฟล์สเปรดชีต  
  • Google Ads: สำหรับข้อมูลโฆษณาออนไลน์  
  • ฐานข้อมูล SQL: หากมีข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์  
  • CSV Upload: นำเข้าไฟล์ข้อมูลในรูปแบบ CSV  
ตั้งค่าการเชื่อมต่อ  
  • เมื่อเลือกแหล่งข้อมูลแล้ว จะต้องให้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล เช่น การอนุญาตให้ Looker Studio เข้าถึงบัญชี Google Analytics  
  • กด Connect เพื่อยืนยันการเชื่อมต่อ  
  • ตรวจสอบว่า Looker Studio ดึงตารางหรือฟิลด์ที่ต้องการมาถูกต้อง  

3. สร้างรายงาน

เมื่อเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มสร้างรายงาน  

เริ่มต้นสร้างรายงาน  
  • คลิกที่ปุ่ม Create > Report บริเวณมุมขวาบน  
  • Looker Studio จะเปิดหน้ารายงานเปล่า ๆ พร้อมตัวเลือกให้เพิ่มข้อมูล  
เพิ่มข้อมูลลงในรายงาน  
  • คลิก Add Data ที่มุมขวาบนของหน้าจอ  
  • เลือกแหล่งข้อมูลที่คุณเชื่อมต่อไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า  
  • กด Add to Report เพื่อเพิ่มข้อมูล  
สร้างแผนภูมิ (Chart)
  • ในแถบเมนูด้านบน เลือกประเภทของแผนภูมิที่ต้องการ เช่น  ตาราง (Table)  กราฟแท่ง (Bar Chart) กราฟเส้น (Line Chart)  แผนภูมิวงกลม (Pie Chart)  
  • ลากและวางแผนภูมิเหล่านี้ไปยังหน้ารายงาน  
  • คลิกที่แผนภูมิเพื่อปรับแต่งตัวชี้วัด (Metrics) เช่น จำนวนผู้ใช้งาน (Users) และมิติ (Dimensions) เช่น ช่วงเวลา  
ปรับแต่งเพิ่มเติม  
  • ใช้ฟีเจอร์ Drag-and-Drop เพื่อจัดวางแผนภูมิและตารางให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ  
  • เพิ่ม ตัวกรองข้อมูล (Filter) เพื่อแสดงข้อมูลเฉพาะส่วน เช่น เลือกดูเฉพาะเดือนที่ผ่านมา  

4. ปรับแต่งและแชร์

การปรับแต่งรายงาน  
  • ใช้เมนู Theme and Layout ทางด้านขวาเพื่อเปลี่ยนสี ฟอนต์ และลักษณะกราฟให้สอดคล้องกับแบรนด์  
  • เพิ่ม โลโก้ หรือ ข้อความ เพื่อทำให้รายงานดูเป็นมืออาชีพ  

การแชร์รายงาน  
  • คลิกปุ่ม Share ที่มุมขวาบน  
  • เลือกรูปแบบการแชร์ เช่น ส่งลิงก์ให้คนอื่นดู (แบบอ่านอย่างเดียว), ให้สิทธิ์ในการแก้ไข (Editor) สำหรับทีม  
  • กำหนด สิทธิ์การเข้าถึง เช่น เฉพาะผู้ที่มีอีเมลในโดเมนขององค์กร  
การดาวน์โหลดรายงาน  
  • คุณสามารถดาวน์โหลดรายงานเป็นไฟล์ PDF เพื่อพิมพ์หรือส่งทางอีเมลได้
      

ตัวอย่างการใช้งาน  

สมมติว่าคุณต้องการติดตามประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา
  • เชื่อมต่อ Google Ads กับ Looker Studio  
  • สร้างรายงานที่แสดงข้อมูล เช่น กราฟเส้นแสดงคลิกโฆษณารายวัน หรือ ตารางแสดงงบประมาณที่ใช้กับ ROI  
  • แชร์รายงานให้ทีมงานตรวจสอบประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์  

บทสรุป Looker Studio ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง สร้างรายงานและแดชบอร์ดแบบโต้ตอบ เหมาะสำหรับติดตามผลลัพธ์ธุรกิจ วิเคราะห์การตลาด และสื่อสารข้อมูลสำคัญอย่างมืออาชีพ

ปรับปรุงเว็บด้วย Google Search Console

Google Search Console

ถ้าคุณมีเว็บ การปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือ และอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google 

คำศัพท์ GA4 สำหรับอ่านรายงาน

Vocabulary
Google Analytics 4 (GA4) คือเวอร์ชันใหม่ของ Google Analytics ที่ออกแบบมาเพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมีความยืดหยุ่นและครอบคลุมมากขึ้น

Social Media คืออะไร

Social Media

โซเชียลมีเดีย (Social Media) ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัลปัจจุบัน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยในการเชื่อมโยงผู้คนจากทั่วโลก แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำธุรกิจและการตลาดอีกด้วย ด้วยการให้ความสำคัญกับการสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจและการสร้างแบรนด์ โซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

10 อาชีพ Sales สายเทคโนโลยี รายได้งาม

Sales Tech
อีกหนึ่งอาชีพสำหรับคนสาย Sale  

อาชีพ Sales ในสายงานเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความท้าทายและให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็นการขายซอฟต์แวร์ (Software), โซลูชันระบบคลาวด์ (Cloud Solutions), ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity), หรือเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ความสามารถในการขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในตลาดปัจจุบัน 

นอกจากทักษะการเจรจาต่อรองและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว Sales ที่มีความรู้ทางเทคนิคสามารถทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดี อาชีพนี้ไม่เพียงแค่สร้างรายได้สูงแต่ยังเปิดโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย


10 อาชีพในสายงาน Sales สายเทคโนโลยี 

1. Cloud Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน Cloud เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, และ Google Cloud Platform ให้กับบริษัทที่ต้องการย้ายระบบขึ้น Cloud หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน IT
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ Cloud Computing, ความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า, ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ SaaS, IaaS และ PaaS

2. Cybersecurity Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันการรักษาความปลอดภัย เช่น Antivirus, Firewall, SIEM (Security Information and Event Management) ให้กับองค์กรที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลและระบบ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เรื่อง IT Security, แนวโน้มด้าน Cybersecurity, การประเมินความเสี่ยง, และการเข้าใจมาตรการความปลอดภัย (เช่น ISO 27001, GDPR)

3. Software as a Service (SaaS) Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ที่เป็นบริการ (SaaS) เช่น CRM (Customer Relationship Management), ERP (Enterprise Resource Planning) หรือซอฟต์แวร์บริหารจัดการโครงการ (Project Management Software)
  • ความรู้ที่ควรมี: ทักษะการสื่อสาร, ความเข้าใจใน Business Process ของลูกค้า, ความสามารถในการสาธิตการใช้งานซอฟต์แวร์

4. Artificial Intelligence (AI) & Machine Learning Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน AI และ Machine Learning เช่น Chatbots, Data Analytics Platforms และ Predictive Analytics ให้กับธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI/ML, Data Science, การวิเคราะห์ข้อมูล, และความสามารถในการอธิบายเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย

5. Enterprise Software Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในองค์กร เช่น SAP, Oracle หรือ Microsoft Dynamics ที่ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน, ทรัพยากรมนุษย์, Supply Chain
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจในกระบวนการธุรกิจ, ประสบการณ์การขาย B2B, และทักษะการเจรจาในระดับองค์กร

6. IT Hardware Sales
  • รายละเอียด: ขายอุปกรณ์ IT เช่น Servers, Networking Equipment, Data Storage Solutions และอุปกรณ์ IoT ให้กับองค์กรที่ต้องการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี Hardware, การประเมินโครงสร้างพื้นฐาน IT ของลูกค้า, ทักษะการขายและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

7. FinTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันทางการเงิน เช่น Payment Gateways, Digital Wallets, และแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ให้กับสถาบันการเงินและธุรกิจต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเรื่องการเงินและธนาคาร, เทคโนโลยี FinTech, การปฏิบัติตามกฎหมายด้านการเงิน (เช่น AML, KYC)

8. EdTech Sales
  • รายละเอียด: ขายเทคโนโลยีด้านการศึกษา เช่น e-Learning Platforms, Virtual Classrooms, และระบบบริหารจัดการการเรียนการสอน (LMS) ให้กับสถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรม, การเข้าใจปัญหาและความต้องการของสถานศึกษา, การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน

9. HealthTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันด้านสุขภาพ เช่น Telemedicine Platforms, Wearable Health Devices, และ Electronic Health Records (EHR) Systems ให้กับโรงพยาบาลและคลินิก
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับวงการ Healthcare, การวิเคราะห์ความต้องการของสถานพยาบาล, กฎระเบียบด้านสุขภาพ (เช่น HIPAA)

10. Digital Marketing Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายเครื่องมือการตลาดดิจิทัล เช่น SEO Tools, Social Media Management Platforms, และ Marketing Automation Solutions ให้กับบริษัทที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจด้านการตลาดดิจิทัล, การใช้ SEO, SEM, และการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด, ทักษะการทำ Presentation

ทักษะเพิ่มเติมที่ควรมีสำหรับงาน Sales ในสาย Tech

  • ทักษะการนำเสนอ (Presentation Skills): เพื่อดึงดูดและสร้างความสนใจให้กับลูกค้า
  • ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills): เพื่อปิดการขายและสร้างข้อตกลงที่เป็นประโยชน์
  • ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Savvy): การเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
  • ทักษะการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM Skills): การใช้งานเครื่องมือ CRM เช่น Salesforce เพื่อบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • การเรียนรู้และปรับตัว (Adaptability): การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

บทสรุป การเข้าสู่อาชีพเหล่านี้ต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน แต่เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้สูงและมีความท้าทายที่น่าตื่นเต้นในโลกของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง

SEO คืออะไร

Search Engine Optimization

การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา (SEO) มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับเว็บไซต์ในยุคปัจจุบัน SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการเข้าถึงผู้ใช้ การทำ SEO ที่ดีไม่เพียงช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพของการเข้าชมให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น 

แบบทดสอบระบบคลาวด์

Cloud in the City

ทดสอบความรู้ของคุณเกี่ยวกับระบบคลาวด์ด้วยแบบทดสอบ 10 ข้อที่ออกแบบมาเพื่อท้าทายและเสริมสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยีคลาวด์ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน พร้อมเฉลยคำตอบในตอนท้าย เพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ทันที!

รู้จัก YouTube ใน 5 นาที

YouTube
YouTube เป็นแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอออนไลน์ เป็น Social Media ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลปัจจุบัน ด้วยการให้บริการที่ครอบคลุมการดู อัปโหลด และแชร์วิดีโอ YouTube ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแบรนด์และตลาดสินค้าสำหรับธุรกิจทุกขนาด 

โอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านเนื้อหาวิดีโอที่หลากหลายทำให้ธุรกิจสามารถใช้ YouTube เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลของ YouTube ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามผลการดำเนินงานของแคมเปญวิดีโอและปรับกลยุทธ์ได้ตามต้องการ การใช้ YouTube อย่างมีกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางการตลาดในยุคดิจิทัล

Google Cloud Platform คืออะไร

Google Cloud Platform
Google Cloud Platform (GCP) เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจและองค์กรทุกขนาดในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ด้วยความยืดหยุ่นในการจัดการทรัพยากรและความสามารถในการปรับขนาดได้ตามความต้องการ

Google Cloud Platform มีบริการที่ครอบคลุม เช่น การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ที่ทันสมัย ช่วยให้การวิเคราะห์และพัฒนานวัตกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 

ความปลอดภัยระดับสูงเป็นอีกจุดเด่นของ Google Cloud ซึ่งช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบต่างๆ อย่างมั่นคง การเลือกใช้ Google Cloud จึงเหมาะสมกับธุรกิจที่ต้องการการขยายตัวและการทำงานที่ยืดหยุ่นในยุคดิจิทัล


บริการของ Google Cloud Platform

1. Google Compute Engine

Google Compute Engine เป็นบริการที่ช่วยให้คุณสร้างและจัดการ VM (Virtual Machine) บนโครงสร้างพื้นฐานของ Google Cloud ได้ คุณสามารถปรับขนาดความสามารถของ VM เช่น CPU, RAM, และพื้นที่เก็บข้อมูลได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังรองรับการทำงานแบบ autoscaling ที่สามารถเพิ่มหรือลดจำนวน VM โดยอัตโนมัติตามการใช้งาน ซึ่งทำให้เหมาะสมสำหรับการโฮสต์เว็บเซิร์ฟเวอร์ การรันแอปพลิเคชัน หรือการประมวลผลที่ต้องใช้ทรัพยากรสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล

  • ข้อดี: ยืดหยุ่น, รองรับการทำ autoscaling, ควบคุมการตั้งค่าทุกอย่างได้
  • การใช้งาน: สร้าง VM สำหรับโฮสต์แอปพลิเคชัน, เว็บไซต์ หรือใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์ในการทดสอบซอฟต์แวร์

2. Google Kubernetes Engine (GKE)

Google Kubernetes Engine (GKE) เป็นบริการที่ช่วยจัดการ Kubernetes cluster ที่ช่วยให้คุณรันคอนเทนเนอร์ได้อย่างง่ายดาย โดย Kubernetes เป็นระบบจัดการคอนเทนเนอร์ที่ทำให้คุณสามารถจัดการการกระจายงาน การทำ autoscaling และการอัปเดตแอปพลิเคชันได้อย่างอัตโนมัติ บริการนี้เหมาะสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถขยายขนาดได้อย่างรวดเร็ว

  • ข้อดี: ระบบจัดการคอนเทนเนอร์ที่เสถียรและรองรับการขยายขนาดได้
  • การใช้งาน: รันแอปพลิเคชันในคอนเทนเนอร์, จัดการ microservices, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

3. Google Cloud Storage

Google Cloud Storage เป็นบริการจัดเก็บข้อมูลในระบบคลาวด์ที่สามารถเก็บไฟล์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร, รูปภาพ, วิดีโอ หรือข้อมูลที่ไม่ใช่โครงสร้าง (unstructured data) คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ผ่าน API หรือแดชบอร์ดของ Google Cloud นอกจากนี้ยังมีระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบมัลติรีเจียน ที่ช่วยสำรองข้อมูลในหลายภูมิภาคเพื่อความปลอดภัยและความเสถียร

  • ข้อดี: จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย, รองรับการเข้าถึงจากทุกที่
  • การใช้งาน: จัดเก็บและสำรองข้อมูล, โฮสต์ไฟล์มีเดีย, จัดการข้อมูลบิ๊กดาต้า

4. BigQuery

BigQuery เป็นบริการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถรันคิวรี (query) เพื่อดึงข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า ทำให้การคิวรีข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลสูงเป็นไปได้ในเวลาที่รวดเร็ว นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือ Data Analytics อื่นๆ อีกด้วย
  • ข้อดี: ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว, รองรับ SQL, เชื่อมต่อกับระบบ Data Warehouse
  • การใช้งาน: วิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า, สร้างรายงานทางธุรกิจ, ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้

5. Google Cloud Functions

Google Cloud Functions เป็นบริการรันโค้ดแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ (serverless) ที่สามารถทำงานโดยไม่ต้องจัดการกับโครงสร้างพื้นฐานใดๆ คุณเพียงแค่เขียนโค้ดและอัปโหลดขึ้น Google Cloud Functions บริการนี้จะจัดการการรันและการทำงานของโค้ดเอง เหมาะสำหรับการพัฒนา microservices หรือการสร้างฟังก์ชันที่ทำงานเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
  • ข้อดี: ไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์, ขยายขนาดได้ตามต้องการ, รองรับการเชื่อมต่อกับ API ต่างๆ
  • การใช้งาน: พัฒนาแอปพลิเคชันขนาดเล็ก, microservices, การประมวลผลแบบ event-driven

6. AI และ Machine Learning

Google Cloud มีเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning ที่ครบครัน เช่น AI Platform, TensorFlow และ AutoML บริการเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถสร้างและฝึกโมเดล Machine Learning ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมีระบบการประมวลผลข้อมูล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง และรองรับการทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่

  • ข้อดี: มีเครื่องมือครบถ้วน, รองรับโมเดล AI ที่หลากหลาย, ขยายขนาดได้ตามความต้องการ
  • การใช้งาน: สร้างและฝึกโมเดล Machine Learning, พัฒนา AI ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล, การเรียนรู้ของเครื่อง

7. API Management

บริการ API Management ช่วยให้คุณจัดการการเข้าถึงและควบคุม API ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการเชื่อมต่อหลายแอปพลิเคชันผ่าน API และต้องการระบบในการควบคุมความปลอดภัย การตรวจสอบการใช้งาน และการเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ

  • ข้อดี: ควบคุมและจัดการ API ได้ง่าย, ปลอดภัย, มีการติดตามการใช้งานได้
  • การใช้งาน: จัดการ API สำหรับแอปพลิเคชันธุรกิจ, การเชื่อมต่อระหว่างระบบต่างๆ

 วิธีสมัครใช้งาน Google Cloud

  • เข้าไปที่ [Google Cloud](https://cloud.google.com) แล้วคลิก Get started for free
  • ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google
  • ป้อนข้อมูลทางธุรกิจและรายละเอียดบัตรเครดิต (ไม่มีการเรียกเก็บเงินในช่วงทดลอง)
  • รับเครดิตมูลค่า 300 ดอลลาร์เพื่อทดลองใช้บริการเป็นเวลา 90 วัน

วิธีใช้งาน Google Cloud เบื้องต้น

  • แดชบอร์ด:
    เมื่อเข้าสู่ระบบ Google Cloud คุณจะพบแดชบอร์ดที่แสดงบริการทั้งหมด คุณสามารถเลือกใช้บริการต่างๆ ได้ เช่น Compute Engine หรือ Cloud Storage

  • สร้าง VM (Virtual Machine):
    หากต้องการสร้าง VM ให้ไปที่ Compute Engine จากนั้นคลิก Create instance กำหนดค่าต่างๆ เช่น CPU, RAM, ระบบปฏิบัติการตามที่คุณต้องการ

  • จัดเก็บข้อมูล:
    สำหรับการจัดเก็บไฟล์ ให้ไปที่เมนู Cloud Storage แล้วคลิก Create bucket เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล

บทสรุป Google Cloud มีเครื่องมือหลากหลายที่ช่วยคุณพัฒนาโซลูชันต่างๆ ทั้งการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล และการพัฒนาแอปพลิเคชัน ส่วนค่าใช้จ่าย ก็เป็นในลักษณะ จ่ายตามจำนวนจริงที่ใช้ และที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องซื้อ Server ในระดับองค์กรมาใช้งาน แถมยังมีผู้ช่วยในการแก้ไขปัญหาด้านเทคนิค

Ai

10 ด้าน นำ AI ไปใช้ประโยชน์

Ai Medical

คุณคิดว่า คนมักนำ Ai ไปใช้ด้านไหน?  

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและธุรกิจต่าง ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความสามารถในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ วิเคราะห์แนวโน้ม และปรับตัวตามสถานการณ์ AI จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในหลายด้าน 

เริ่มตั้งแต่ การบริการลูกค้า การแพทย์ ไปจนถึงการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ความสามารถของ AI ไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น แต่ยังช่วยในการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ใน

บทความนี้เราจะสำรวจการนำ AI ไปใช้ประโยชน์ใน 10 ด้านที่สำคัญ พร้อมตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน AI ในแต่ละด้าน


10 ตัวอย่าง การนำ AI ไปใช้ประโยชน์ 

1. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)  

  •  AI ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และค้นหารูปแบบที่ซับซ้อน 
  • ตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Netflix ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้ และแนะนำเนื้อหาที่เหมาะสมกับแต่ละคนตามการดูในอดีต


2. การบริการลูกค้า (Customer Service)  

  • แชทบอท AI เช่น ChatGPT หรือ Zendesk สามารถตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ) และให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ 
  • ตัวอย่างเช่น สายการบินใช้แชทบอทในการจัดการการจองตั๋วและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวบิน ช่วยลดการรอคอยและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า


3. การแพทย์ (Healthcare)  

  • AI เช่น IBM Watson Health สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ประวัติการรักษาและผลการตรวจ เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรค 
  • ตัวอย่างเช่น AI สามารถตรวจจับมะเร็งจากภาพถ่ายเอกซเรย์ได้แม่นยำกว่ามนุษย์


4. การจัดการพลังงาน (Energy Management)  

   AI ใช้ในการวิเคราะห์การใช้พลังงานในบ้านและอาคาร เช่น Nest Learning Thermostat ซึ่งเรียนรู้พฤติกรรมการใช้พลังงานและปรับการตั้งค่าให้เหมาะสม เพื่อประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่าย


5. การตลาด (Marketing)  

  •  AI เช่น Google Ads ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับกลยุทธ์โฆษณาให้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย 
  • ตัวอย่างเช่น การใช้การเรียนรู้ของเครื่องในการคาดการณ์ว่าผู้ใช้จะคลิกโฆษณาเมื่อใดและแสดงโฆษณาในเวลาที่เหมาะสม


6. การขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Driving)  

  • บริษัทอย่าง Tesla ใช้ AI ในระบบ Autopilot ที่ช่วยให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนเองได้ โดยใช้เซ็นเซอร์และกล้องเพื่อตรวจจับสภาพแวดล้อม 
  • ตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่หยุดอยู่ สัญญาณไฟจราจร และรถยนต์อื่น ๆ


7. การเรียนการสอน (Education)  

  • AI ในแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์เช่น Khan Academy สามารถสร้างแผนการเรียนรู้ที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน โดยวิเคราะห์ผลการเรียนรู้และปรับเนื้อหาตามความต้องการ 
  • ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสามารถแนะนำวิชาเรียนเพิ่มเติมตามความสามารถของนักเรียน


8. การผลิต (Manufacturing)  

  • AI ช่วยในการคาดการณ์และวิเคราะห์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสายการผลิต 
  • ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบ AI ในโรงงานของ General Electric เพื่อวิเคราะห์การทำงานของเครื่องจักรและคาดการณ์การซ่อมบำรุงที่จำเป็น ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิต


9. การรักษาความปลอดภัย (Security)  

  • AI เช่นระบบตรวจจับภัยคุกคาม (Threat Detection) ในระบบ IT สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานในเครือข่ายและตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติ 
  • ตัวอย่างเช่น Darktrace ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์


10. การพัฒนาเกม (Game Development)  

  • AI ช่วยในการสร้าง NPC (Non-Playable Characters) ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้เล่น 
  • ตัวอย่างเช่น เกม "Left 4 Dead" ใช้ AI ในการควบคุมการทำงานของซอมบี้ ทำให้เกิดความท้าทายและสนุกสนานในการเล่นเกม


บทสรุป การใช้ AI ในหลายด้านนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพในการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แล้วคุณหรือองค์กรของคุณ ได้มีการนำ Ai ไปใช้ประโยชน์หรือยัง

เจาะลึก Google Ads แบบเข้าใจง่าย

Ads on Search Engine

Google Ads (เดิมชื่อ Google AdWords) เป็นแพลตฟอร์มการโฆษณาออนไลน์ของ Google ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงโฆษณาบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google และเครือข่ายเว็บไซต์พันธมิตรต่างๆ Google Ads มีความสามารถในการเข้าถึงผู้ชมเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและสามารถควบคุมงบประมาณการโฆษณาได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการตลาดออนไลน์

Zero Trust Security เรื่องที่ควรรู้

MFA Zero Trust Security

Zero Trust Security เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เน้นหลักการว่า “ห้ามเชื่อถือโดยอัตโนมัติ” ไม่ว่าจะเป็นบุคคล อุปกรณ์ หรือแอปพลิเคชัน ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร

ฟรีโปรแกรม Office จาก Google

Collaboration

Google Docs, Sheets, Slides, และ Forms เป็นเครื่องมือออนไลน์จาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนการสอน ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุด Google Workspace 

ผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข และแชร์เอกสาร สเปรดชีต พรีเซนเทชัน และแบบฟอร์มได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การจัดการข้อมูลและการนำเสนองานเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็น

  • การวิเคราะห์ข้อมูลใน Google Sheets 
  • การสร้างสไลด์ที่ดึงดูดใน Google Slides
  • การรวบรวมข้อมูลผ่าน Google Forms ที่เชื่อมโยงข้อมูลกับ Google Sheets ได้อัตโนมัติ
  • สร้างเอกสารผ่าน Google Docs 


จากประโยชน์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเข้าถึง และการทำงานร่วมกันของเครื่องมือเหล่านี้ทำให้เป็นที่นิยมในการใช้งานทั้งในองค์กรและสถาบันการศึกษา

รายละเอียดและวิธีการใช้งาน

Google Docs
Google Docs

Google Docs เป็นโปรแกรมเอกสารออนไลน์ที่ใช้สำหรับการสร้าง แก้ไข และจัดการเอกสารข้อความ เช่น รายงาน บทความ หรือจดหมาย สามารถใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์พกพา

ประโยชน์ของ Google Docs 

  • การทำงานร่วมกัน สามารถแชร์เอกสารให้ผู้อื่นเข้ามาแก้ไขหรือแสดงความคิดเห็นได้แบบเรียลไทม์
  • การเข้าถึงง่าย เอกสารทั้งหมดถูกเก็บไว้ใน Google Drive ทำให้สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต
  • เครื่องมือจัดรูปแบบอัตโนมัติ มีฟีเจอร์การจัดรูปแบบข้อความ การตรวจสอบคำสะกดและไวยากรณ์อัตโนมัติ
  • ประวัติการแก้ไข สามารถดูและย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้

การใช้งานเบื้องต้น  

  • เปิด Google Docs > คลิก "เอกสารใหม่" > พิมพ์เนื้อหา > ใช้เครื่องมือจัดรูปแบบตามต้องการ > แชร์เอกสารผ่านการตั้งค่าการแชร์


Google Sheets

Google Sheets เป็นโปรแกรมสเปรดชีตออนไลน์ที่ใช้สำหรับการสร้างและจัดการข้อมูลในรูปแบบตาราง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การคำนวณ และการสร้างกราฟ

ประโยชน์ของ Google Sheets

  • การทำงานร่วมกัน สามารถแชร์สเปรดชีตให้ผู้อื่นเข้ามาแก้ไขหรือเพิ่มข้อมูลได้พร้อมกัน
  • การคำนวณอัตโนมัติ มีฟังก์ชันการคำนวณและสูตรคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล
  • การสร้างกราฟ สามารถสร้างกราฟและแผนภูมิจากข้อมูลที่เก็บไว้ในเซลล์
  • การทำงานร่วมกับ Google Apps อื่น ๆ สามารถดึงข้อมูลจาก Google Forms หรือ Google Analytics มาใช้ในสเปรดชีตได้

การใช้งานเบื้องต้น  

  • เปิด Google Sheets > คลิก "สเปรดชีตใหม่" > ใส่ข้อมูลในเซลล์ > ใช้สูตรคำนวณหรือสร้างกราฟตามต้องการ > แชร์สเปรดชีตผ่านการตั้งค่าการแชร์

Google Slides

Google Slides เป็นโปรแกรมสำหรับการสร้างสไลด์โชว์หรือพรีเซนเทชันออนไลน์ เช่น การนำเสนองานหรือการสอน

ประโยชน์ของ Google Slides  

  • การทำงานร่วมกัน สามารถทำงานร่วมกับทีมเพื่อสร้างและแก้ไขสไลด์ในเวลาเดียวกัน
  • การออกแบบสไลด์ มีเครื่องมือและเทมเพลตที่ช่วยในการจัดรูปแบบสไลด์และการใส่มัลติมีเดีย เช่น รูปภาพ วิดีโอ และเสียง
  • การแสดงผลผ่านออนไลน์ สามารถนำเสนอสไลด์โชว์ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือส่งให้ผู้ชมผ่านลิงก์
  • การรวมกับ Google Apps อื่น ๆ สามารถฝังสเปรดชีตจาก Google Sheets หรือเอกสารจาก Google Docs ลงในสไลด์ได้

การใช้งานเบื้องต้น  

  • เปิด Google Slides > คลิก "พรีเซนเทชันใหม่" > เพิ่มสไลด์และเนื้อหาตามต้องการ > ใช้เครื่องมือจัดรูปแบบและเพิ่มมัลติมีเดีย > แชร์พรีเซนเทชันผ่านการตั้งค่าการแชร์


Google Forms

Google Forms เป็นโปรแกรมสำหรับการสร้างแบบฟอร์มหรือแบบสอบถามออนไลน์ เช่น แบบสำรวจ ความพึงพอใจของลูกค้า หรือการเก็บข้อมูล

ประโยชน์ของ Google Forms  

  • การรวบรวมข้อมูล สามารถสร้างแบบฟอร์มเพื่อรวบรวมข้อมูลจากผู้ตอบและบันทึกลงใน Google Sheets โดยอัตโนมัติ
  • การทำงานร่วมกัน สามารถแชร์แบบฟอร์มให้ผู้อื่นร่วมออกแบบหรือเข้ามาตอบคำถามได้
  • การสร้างแบบสอบถามที่มีเงื่อนไข สามารถตั้งค่าให้แสดงคำถามหรือคำตอบตามเงื่อนไขที่กำหนด
  • การวิเคราะห์ข้อมูล สามารถดูสรุปและสถิติของการตอบคำถามได้ทันที

การใช้งานเบื้องต้น  

  • เปิด Google Forms > คลิก "แบบฟอร์มใหม่" > สร้างคำถามและคำตอบ > ตั้งค่าแบบฟอร์มตามความต้องการ > แชร์ลิงก์แบบฟอร์มให้ผู้อื่นเข้ามาตอบ


บทสรุป เครื่องมือทั้งหมดนี้ทำให้การทำงานในองค์กรหรือการเรียนการสอนมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข และแชร์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและร่วมมือกันได้ในเวลาเดียวกัน และที่สำคัญ เราสามารถใช้บริการได้ฟรี ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องของพื้นที่ในการให้บริการ แต่เราสามารถเลือกซื้อบริการเพิ่มเติมได้ในภายหลัง


#Software #Office #GoogleDocs

Google Mobile Services คืออะไร

Google Mobile Services

GMS ย่อมาจาก Google Mobile Services เป็นชุดบริการที่พัฒนาโดย Google เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ครบครันและสะดวกสบายยิ่งขึ้น 

โดย GMS รวมแอปพลิเคชันและบริการที่สำคัญ เช่น 

  • Google Play Store
  • Google Maps
  • Gmail, Google Drive
  • YouTube
  • Google Search 

รวมถึง API และเฟรมเวิร์กที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปที่เข้ากันได้ดีกับ Android


ประโยชน์ของ GMS

1. การเข้าถึงแอปพลิเคชันที่หลากหลาย  

  • ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปจาก Google Play Store ซึ่งมีแอปพลิเคชันจำนวนมาก ทั้งฟรีและเสียเงิน ครอบคลุมทุกความต้องการ

2. ระบบนำทางและแผนที่  

  • Google Maps เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการนำทาง ค้นหาสถานที่ และดูสภาพจราจรแบบเรียลไทม์

3. การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน  

  • Gmail, Google Meet และ Google Drive ช่วยให้การติดต่อสื่อสารและการทำงานเป็นทีมสะดวกยิ่งขึ้น

4. การสนับสนุนนักพัฒนา  

  • GMS มี API และบริการ เช่น Google Analytics, Firebase และ Google Ads ช่วยให้นักพัฒนาสร้างและปรับปรุงแอปได้ง่ายขึ้น

5. ความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล  

  • บริการอย่าง Google Play Protect ช่วยสแกนมัลแวร์ในแอป และ Google Drive ช่วยสำรองข้อมูลได้อย่างปลอดภัย


ข้อควรรู้เพิ่มเติม GMS

  • อุปกรณ์ Android ทุกเครื่องอาจไม่ได้รับ GMS โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้รับการรับรองจาก Google  
  • ประเทศหรือภูมิภาคบางแห่งอาจไม่สามารถเข้าถึง GMS ได้เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายหรือการเซ็นสัญญา


สมาร์ทโฟนที่ไม่มี GMS (Google Mobile Services) มักเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก Google หรือผลิตในภูมิภาคที่มีข้อจำกัด เช่น ประเทศจีน โดยสมาร์ทโฟนเหล่านี้จะไม่มีแอปพลิเคชันสำคัญของ Google เช่น Google Play Store, Gmail, Google Maps, และ YouTube แต่จะใช้ระบบปฏิบัติการ Android แบบโอเพ่นซอร์ส (AOSP - Android Open Source Project) ซึ่งไม่มีบริการจาก Google ติดตั้งมาให้


สมาร์ทโฟนที่ไม่มี GMS

  • Huawei (หลังปี 2019)
    เช่น Huawei Mate 50, Huawei P60 ที่หันไปใช้ HMS (Huawei Mobile Services) แทน

  • Xiaomi (เวอร์ชันสำหรับจีน)
    สมาร์ทโฟน Xiaomi ที่ขายในจีนไม่มี GMS แต่สามารถติดตั้งเองได้ในบางรุ่น

  • สมาร์ทโฟนที่ใช้ AOSP (Android Open Source Project)
    เช่น อุปกรณ์เฉพาะทางหรือรุ่นที่เน้นการใช้งานเฉพาะในบางภูมิภาค


บทสรุป Google Mobile Services หรือ GMS เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ระบบ Android ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ทั้งในด้านการทำงานและความบันเทิง

Ai

เทคโนโลยีกับการแพทย์

Ai Medical

เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการรักษาและดูแลสุขภาพของมนุษย์อย่างก้าวกระโดด ด้วยการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่ทันสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์ทางการแพทย์, เทคโนโลยีชีวภาพ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ส่งผลให้การวินิจฉัยโรคมีความแม่นยำมากขึ้น การรักษาเฉพาะบุคคลสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันโรคต่างๆ ก็สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาวิธีการผ่าตัดที่แม่นยำด้วยหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีการสื่อสารทางไกลที่ช่วยให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้จากระยะไกล เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในขั้นตอนการรักษา แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีหลากหลายเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา มาดูว่า 5 เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ 


5 เทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ทางการแพย์

1. ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  

  • AI มีบทบาทในการวินิจฉัยและวิเคราะห์โรคด้วยความแม่นยำ 
  • ตัวอย่างเช่น AI ในการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ เช่น การตรวจจับมะเร็งจากภาพ X-ray และ MRI ระบบ AI สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเพื่อช่วยแพทย์ตัดสินใจในการรักษาที่ถูกต้อง เช่น Google Health ที่ใช้ AI วิเคราะห์โรคเบาหวานจากภาพถ่ายเรตินาได้อย่างแม่นยำ


2. หุ่นยนต์ทางการแพทย์ (Robotic Surgery)  

  • หุ่นยนต์ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด 
  • ตัวอย่างเช่น ระบบ Da Vinci Surgical System ที่ช่วยในการผ่าตัดผ่านการควบคุมจากแพทย์ หุ่นยนต์สามารถทำการผ่าตัดที่ซับซ้อนได้อย่างละเอียด ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์และทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น เช่น การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากหรือการผ่าตัดหัวใจ


3. เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)  

  • เทคโนโลยีนี้มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการรักษาและป้องกันโรค 
  • ตัวอย่างเช่น วัคซีนที่ผลิตจากการวิจัยทางพันธุกรรม เช่น วัคซีน mRNA ที่ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับโรค COVID-19 หรือการใช้สเต็มเซลล์เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย


4. การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics)  

  • การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มสุขภาพและการวินิจฉัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • ตัวอย่างเช่น การใช้ Big Data เพื่อรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยทั่วโลกและใช้ในการพยากรณ์การระบาดของโรค หรือใช้เพื่อพัฒนาวิธีการรักษาเฉพาะบุคคลโดยอ้างอิงจากประวัติสุขภาพที่ละเอียด


5. การแพทย์ทางไกล (Telemedicine)  

  • Telemedicine ช่วยให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยผ่านการสื่อสารทางไกลได้โดยไม่ต้องพบกัน
  • ตัวอย่างเช่น แพทย์สามารถทำการตรวจสุขภาพเบื้องต้นผ่านวิดีโอคอล หรือการติดตามผลการรักษาผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และอุปกรณ์สวมใส่เพื่อวัดค่าสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือด เพื่อส่งข้อมูลไปให้แพทย์วิเคราะห์

ความน่าเชื่อถือในการใช้ AI ในการวิเคราะห์ทางการแพทย์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลต่อการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วย ปัจจัยที่ทำให้ AI มีความน่าเชื่อถือขึ้น ได้แก่:

  • ข้อมูลขนาดใหญ่และคุณภาพ
    AI พัฒนามาจากการเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมหาศาล การมีข้อมูลที่ถูกต้องและหลากหลายช่วยให้ AI วิเคราะห์ได้แม่นยำขึ้น เช่น การตรวจจับมะเร็งจากภาพ X-ray

  • การทดสอบทางคลินิก
    AI ต้องผ่านการทดสอบในสภาพแวดล้อมทางคลินิกและเปรียบเทียบผลลัพธ์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืนยันความถูกต้องและลดความเสี่ยงในการวินิจฉัยผิดพลาด

  • การพัฒนาและปรับปรุงต่อเนื่อง
    AI ต้องได้รับการปรับปรุงและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลทางการแพทย์และความรู้ใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังคงต้องการการควบคุมดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์มีความถูกต้องและเหมาะสมกับการรักษา

บทสรุป เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพการรักษาและการดูแลสุขภาพ ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีความแม่นยำ การรักษามีประสิทธิภาพ และสามารถป้องกันโรคได้ล่วงหน้า นวัตกรรมเหล่านี้ เช่น AI, หุ่นยนต์ทางการแพทย์ และการแพทย์ทางไกล ช่วยลดข้อผิดพลาด เพิ่มความสะดวกให้แพทย์และผู้ป่วย และส่งเสริมคุณภาพชีวิต เทคโนโลยีเหล่านี้จะยังคงเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ในอนาคต

มือใหม่ หารายได้จาก YouTube

To be YouTuber
อยากเป็น YouTuber ต้องอ่านให้จบ !  

การเริ่มต้นหารายได้จาก YouTube เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นและสร้างสรรค์สำหรับผู้ที่มีความสนใจในการสร้างเนื้อหาออนไลน์ ด้วยผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้บุคคลสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์และแบ่งปันความรู้ได้อย่างกว้างขวาง 

การทำเงินจากช่อง YouTube ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างรายได้เพิ่มเติม แต่ยังสามารถเป็นอาชีพหลักที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความสำเร็จ เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จในการทำช่อง YouTube สิ่งสำคัญคือการวางแผนและการเตรียมตัวในหลายด้าน ตั้งแต่การเลือกหัวข้อที่น่าสนใจ การผลิตและตัดต่อเนื้อหา จนถึงการโปรโมทช่อง เพื่อให้ผู้ชมค้นพบและสนับสนุนผลงานของคุณ การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสร้างรายได้จากแพลตฟอร์มนี้ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต


7 ขั้นตอนในการเริ่มต้นหารายได้จาก YouTube:

1. กำหนดแนวทางเนื้อหา
  • เลือกหัวข้อ
    คิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณหลงใหลและมีความรู้ เช่น ทำอาหาร, การรีวิวเกม, การสอนการศึกษา หรือการท่องเที่ยว. การเลือกหัวข้อที่ตรงกับความสนใจจะทำให้คุณมีแรงจูงใจในการสร้างเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

  • วิจัยตลาด
    ศึกษาช่อง YouTube อื่นๆ ในหมวดหมู่ที่คุณสนใจ โดยดูว่าเนื้อหาใดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เช่น วิดีโอที่มีการดูสูงหรือมีการแชร์มาก ให้สังเกตจุดแข็งและจุดอ่อนของช่องเหล่านั้น เพื่อหาวิธีที่คุณสามารถทำให้ช่องของคุณมีความแตกต่าง

 2. สร้างช่อง YouTube
  • ตั้งชื่อช่อง
    ตั้งชื่อที่สื่อถึงเนื้อหาของช่องและง่ายต่อการจำ เช่น ถ้าคุณทำเกี่ยวกับการทำอาหาร อาจใช้คำที่เกี่ยวข้อง เช่น "ครัวของ [ชื่อคุณ]" 

  • ออกแบบโลโก้และแบนเนอร์
    ใช้โปรแกรมกราฟิกเช่น Canva หรือ Adobe Spark เพื่อสร้างโลโก้และแบนเนอร์ที่ดูน่าสนใจ ควรให้โลโก้สื่อถึงเอกลักษณ์ของช่องและเข้ากับธีมของเนื้อหา

 3. ผลิตเนื้อหา
  • การถ่ายทำ
    หากคุณเพิ่งเริ่มต้น สามารถใช้สมาร์ทโฟนของคุณในการถ่ายทำวิดีโอ โดยควรคำนึงถึงแสงและเสียง เช่น ถ่ายในที่มีแสงธรรมชาติ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสียงชัดเจน 

  • การตัดต่อ
    ใช้ซอฟต์แวร์ตัดต่อที่เหมาะสมสำหรับระดับทักษะของคุณ หากคุณเป็นมือใหม่ iMovie (สำหรับ Mac) หรือ ส่วน Windows แนะนำให้ใช้ DaVinci Resolve เป็นตัวเลือกฟรีที่มีฟีเจอร์มากมายสำหรับผู้ที่มีทักษะสูงขึ้น

 4. ปรับแต่งวิดีโอ
  • สร้าง thumbnail ที่น่าสนใจ
    การสร้าง thumbnail ที่ดึงดูดใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้ผู้ชมคลิกเข้ามาดูวิดีโอ ใช้ภาพที่ชัดเจนและข้อความที่เรียบง่ายเพื่อสื่อความหมายได้ดี 

  • ใส่คำอธิบายและแท็ก
    คำอธิบายที่ดีสามารถช่วยในการค้นหาและเพิ่ม SEO ของวิดีโอ ใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องในคำอธิบายและแท็กที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้ชมค้นหาช่องของคุณได้ง่ายขึ้น

 5. โปรโมทช่อง
  • แชร์ในโซเชียลมีเดีย
    นำวิดีโอของคุณไปโปรโมทในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter, และ TikTok โดยใช้คำบรรยายที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้ชม 

  • ร่วมมือกับผู้สร้างอื่นๆ
    การทำงานร่วมกับ YouTuber คนอื่นสามารถช่วยเพิ่มฐานผู้ชม โดยอาจทำวิดีโอร่วมกันหรือให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

 6. สร้างรายได้
  • สมัครเข้าร่วม YouTube Partner Program
    เมื่อคุณมีผู้ติดตามอย่างน้อย 1,000 คนและมียอดดูรวม 4,000 ชั่วโมงใน 12 เดือน คุณสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้เพื่อเริ่มสร้างรายได้จากโฆษณา 

  • พิจารณารายได้จากการโฆษณา
    หลังจากที่คุณได้รับการอนุมัติจาก YouTube คุณจะสามารถสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาก่อนหรือระหว่างวิดีโอของคุณ 

  • สนับสนุนและการขายสินค้า
    พิจารณาการสร้างสินค้า เช่น เสื้อผ้า หรือสินค้าจากช่องของคุณ เพื่อเพิ่มรายได้ หรือใช้แพลตฟอร์มอย่าง Patreon เพื่อให้ผู้ชมสนับสนุนทางการเงิน

 7. การวิเคราะห์และปรับปรุง
  • ตรวจสอบสถิติ
    ใช้ YouTube Analytics เพื่อติดตามยอดดู จำนวนผู้ติดตาม และข้อมูลประชากรของผู้ชม การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเนื้อหาใดทำงานได้ดีและควรปรับปรุงอะไร 

  • รับฟังความคิดเห็น
    คอยดูความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแบบเชิงบวกหรือเชิงลบจากผู้ชม เพื่อปรับปรุงเนื้อหาของคุณในอนาคต ทำให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมและสามารถปรับปรุงตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ

บทสรุป การเริ่มต้นสร้างช่อง YouTube อาจต้องใช้เวลาและความพยายามในการเติบโต แต่ด้วยการวางแผนและการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ คุณจะสามารถสร้างฐานผู้ชมที่มั่นคงและสร้างรายได้ในที่สุด!  แต่อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้น อาจใช้วิธีศึกษา ช่องยูทูป ของคนอื่นก่อน เพื่อเป็นแนวทาง