The Most/Recent Articles

แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา AntiVirus จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา AntiVirus จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด

ยุคนี้ Antivirus เอาไม่อยู่แล้ว

No Threats Found

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การปกป้องระบบและข้อมูลจากภัยคุกคามไซเบอร์เป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้โปรแกรม Antivirus เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์เบื้องต้น แต่ยังไม่เพียงพอ

องค์กรในปัจจุบัน มีการที่เผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การโจมตีแบบ Zero-day หรือการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ด้วยเหตุนี้ ระบบ Endpoint Security จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคาม โดยครอบคลุมอุปกรณ์ทุกเครื่องในเครือข่าย พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR), การป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP), การควบคุมการเข้าถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ระบบ Endpoint Security ยังสามารถบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้งานในเครือข่ายได้แบบรวมศูนย์ ช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น


Antivirus vs Endpoint Security  

1. Antivirus  

โปรแกรม Antivirus ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัส มัลแวร์ สปายแวร์ และโทรจัน โดยตรวจจับไฟล์ที่น่าสงสัยหรือพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย ส่วนใหญ่จะเน้นปกป้องระบบในลักษณะพื้นฐาน เช่น การสแกนไวรัส การป้องกันแบบเรียลไทม์ (Real-time Protection) และการกักกันไฟล์ที่ไม่ปลอดภัย แม้ว่า Antivirus ในปัจจุบันจะพัฒนาขึ้นและสามารถป้องกันมัลแวร์ที่ซับซ้อนได้ แต่ยังมีขีดจำกัดในการจัดการกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน

2. Endpoint Security

Endpoint Security เป็นโซลูชันที่มีขอบเขตกว้างกว่าการป้องกันไวรัสโดยทั่วไป ซึ่งออกแบบมาสำหรับการป้องกันอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoints) เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก มือถือ และเซิร์ฟเวอร์ ในเครือข่ายองค์กร โดย Endpoint Security มีคุณสมบัติที่มากกว่า Antivirus ทั่วไปและครอบคลุมการป้องกันทั้งระบบ
  • Advanced Threat Protection: ป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง เช่น การโจมตีแบบ Zero-day และมัลแวร์ที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับ
  • Data Loss Prevention (DLP): ป้องกันข้อมูลสำคัญไม่ให้รั่วไหลออกจากระบบ
  • Device Control: ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์เสริม เช่น USB
  • Endpoint Detection and Response (EDR): ตรวจสอบและตอบสนองต่อการบุกรุกที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์
  • Application Whitelisting: อนุญาตเฉพาะแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยให้สามารถทำงานได้ในระบบ
  • Patch Management: จัดการอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยของระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่

ความแตกต่างระหว่าง Antivirus และ Endpoint Security

  • ขอบเขตการป้องกัน: Antivirus ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ Endpoint Security ครอบคลุมมากกว่าและออกแบบเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อนในระดับองค์กร

  • การจัดการแบบรวมศูนย์: Endpoint Security มักมีระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ (Centralized Management) ที่ช่วยให้องค์กรจัดการอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การตอบสนองต่อภัยคุกคาม: Endpoint Security มีระบบที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อัตโนมัติ และตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้ใช้ภายในเครือข่ายองค์กร


บทสรุป การใช้ Endpoint Security เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากภัยคุกคามมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรม Antivirus ธรรมดาจะจัดการได้ Endpoint Security ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR) และการป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP) ทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้แบบรวมศูนย์ สร้างเกราะป้องกันที่ครอบคลุมและมั่นคงมากขึ้น

Free Antivirus ใช้ได้จริงหรือ

Free Antivirus

ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การปกป้องข้อมูลและอุปกรณ์จากไวรัสและมัลแวร์เป็นสิ่งจำเป็น การติดตั้งแอนตี้ไวรัสซอฟต์แวร์ฟรี เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ 

8 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัย

คอมพิวเตอร์คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้

Antivirus

คอมพิวเตอร์ คืออุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน และก่อนที่จะพูดถึง วิธีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี ให้มีความปลอดภัย เรามาศึกษาภัยอันตรายที่อาจเกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบอะไรบ้าง คอมพิวเตอร์จะพัง หรืออย่างไร มาหาคำตอบกัน

ภัยไซเบอร์คืออะไร

Cyber World

ภัยไซเบอร์ (Cyber Threats) หมายถึง การโจมตีหรือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประสงค์ร้ายต่อระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือข้อมูล เพื่อเข้าถึง ขโมย หรือทำลายข้อมูล หรือทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ 

10 วิธีปรับแต่งคอมพิวเตอร์ให้เร็วขึ้น

ตรวจสอบสุขภาพคอมพิวเตอร์

Fix a computer laptop

การทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้งานที่ราบรื่นและไม่มีปัญหา แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่ามีวิธีการหลายอย่างที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน การดูแลรักษาและปรับแต่งระบบของคอมพิวเตอร์สามารถช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพได้อย่างมาก 

อาการติดไวรัสเรียกค่าไถ่ Ransomware

ไวรัสร้ายแรงระดับต้นๆ

Ransomware Virus

ไวรัสเรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware คือประเภทของมัลแวร์ (Malware) ที่ออกแบบมาเพื่อเข้ารหัสไฟล์หรือระบบของเหยื่อ และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกไฟล์หรือระบบเหล่านั้น ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส ส่วนใหญ่จะไม่สามารถถอดรหัสได้ด้วยตัวเรา ต้องให้ผู้ที่เข้ารหัสเท่านั้น

Malware คืออะไร

Malware Software
Malware หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อทำลายหรือรบกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย โดยมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีการทำงานและเป้าหมายที่แตกต่างกัน 

วิธีป้องกัน Ransomware พร้อมวิธีทำ

Prevent Ransomware
มาทำความรู้จักภัยจากไวรัสเรียกค่าไถ่และแนวทางป้องกัน

Ransomware คือมัลแวร์ที่โจมตีระบบคอมพิวเตอร์โดยการเข้ารหัสไฟล์สำคัญและเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกข้อมูล ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงไฟล์หรือระบบของตนเองได้ เว้นแต่จะยอมจ่ายเงินตามที่แฮกเกอร์กำหนด 

ภัยคุกคามนี้มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยเป้าหมายหลักรวมถึงองค์กรธุรกิจ โรงพยาบาล และผู้ใช้ทั่วไป ปัญหาที่เกิดจาก Ransomware อาจมีผลกระทบกว้างขวาง เช่น การสูญเสียข้อมูลสำคัญ การหยุดชะงักของการดำเนินงานทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายสูงจากการกู้ข้อมูลหรือจ่ายค่าไถ่ 

นอกจากนี้ อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เกิดความเสียหายทางกฎหมายและชื่อเสียง การป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการสำรองข้อมูล การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย และการตระหนักถึงความเสี่ยงทางไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน


8 แนวทางป้องกัน Ransomware อย่างละเอียด

1. ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์
  • เลือกซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีฟีเจอร์ป้องกันแรนซัมแวร์ เช่น Bitdefender, Kaspersky หรือ Windows Defender (ฟรีใน Windows)
  • ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ทางการ
  • ติดตั้งและเปิดใช้งานการสแกนเรียลไทม์ (Real-Time Protection)
  • และที่สำคัญ ตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ เพื่อป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ

2. อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์
  • ใน Windows: ไปที่ Settings > Windows Update แล้วกด Check for Updates
  • 2. ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Software Update
  • 3. ในโปรแกรมอื่น ๆ เช่น Microsoft Office หรือ Browser: เลือก Help > Check for Updates
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม ให้เปิดใช้งาน Automatic Updates เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการป้องกันล่าสุดเสมอ

3. สำรองข้อมูลสำคัญ (Backup)
  • ใช้ External Drive หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, OneDrive, Dropbox
  • เลือกไฟล์สำคัญ เช่น รูปภาพ เอกสาร และไฟล์งาน
  • กำหนดเวลาสำรองข้อมูล เช่น ทุกสัปดาห์
  • ข้อแนะนำเพิ่มเติม ควรแยกการเก็บข้อมูลสำรองออกจากเครือข่ายหลัก (เช่น ถอด External Drive หลังสำรองข้อมูลเสร็จ)

4. ใช้หลักการให้สิทธิ์ขั้นต่ำ (Least Privilege)
  • สำหรับองค์กร: สร้างบัญชีผู้ใช้ตามบทบาท (Admin และ User)
  • สำหรับบุคคล: ไม่ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ (Administrator) ในการใช้งานทั่วไป
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม เปิดใช้งานรหัสผ่านหรือ PIN ในบัญชี เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

5. ฝึกอบรมพนักงานหรือเรียนรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • จัดอบรมเกี่ยวกับการระวังอีเมลปลอม เช่น อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Udemy, YouTube หรือ Google
  • จำคีย์สำคัญ เช่น “ดู URL ให้แน่ใจว่าเป็น HTTPS” และ “อย่าเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย”

6. เปิดใช้งานไฟร์วอลล์
  • ใน Windows: ไปที่ Control Panel > System and Security > Windows Defender Firewall และเลือก Turn on Firewall
  • ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Security & Privacy > Firewall
  • เคล็ดลับ: ตั้งค่ากฎเพื่อจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายจากแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น

7. แบ่งส่วนเครือข่าย (Network Segmentation)
  • ใช้เราเตอร์ที่รองรับการสร้างเครือข่ายย่อย (VLAN)
  • แยกการใช้งาน เช่น เครือข่ายสำหรับงาน และเครือข่ายสำหรับความบันเทิง
  • เคล็ดลับ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายหากไม่แน่ใจในการตั้งค่า

8. ใช้โซลูชันป้องกันสแปม (Spam Filtering)
  • ใช้บริการอีเมลที่มีระบบป้องกันสแปม เช่น Gmail หรือ Microsoft Outlook
  • ติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น SpamAssassin
  • ตั้งค่าการกรองอีเมลที่น่าสงสัยเข้าโฟลเดอร์สแปมโดยอัตโนมัติ
  • เคล็ดลับ: แจ้งผู้ใช้งานให้หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ในอีเมลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

บทสรุป การลดปัญหาจาก Ransomware เพียงแค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการโจมตีของ Ransomware ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับองค์กรที่ระบบเครือข่ายภายในและภายนอก

รายละเอียดเพิ่มเติม อาการติด Ransomware

#AntiVirus #Malware #Safety #Security 

10 อาชีพ Sales สายเทคโนโลยี รายได้งาม

Sales Tech
อีกหนึ่งอาชีพสำหรับคนสาย Sale  

อาชีพ Sales ในสายงานเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความท้าทายและให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็นการขายซอฟต์แวร์ (Software), โซลูชันระบบคลาวด์ (Cloud Solutions), ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity), หรือเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ความสามารถในการขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในตลาดปัจจุบัน 

นอกจากทักษะการเจรจาต่อรองและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว Sales ที่มีความรู้ทางเทคนิคสามารถทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดี อาชีพนี้ไม่เพียงแค่สร้างรายได้สูงแต่ยังเปิดโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย


10 อาชีพในสายงาน Sales สายเทคโนโลยี 

1. Cloud Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน Cloud เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, และ Google Cloud Platform ให้กับบริษัทที่ต้องการย้ายระบบขึ้น Cloud หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน IT
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ Cloud Computing, ความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า, ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ SaaS, IaaS และ PaaS

2. Cybersecurity Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันการรักษาความปลอดภัย เช่น Antivirus, Firewall, SIEM (Security Information and Event Management) ให้กับองค์กรที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลและระบบ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เรื่อง IT Security, แนวโน้มด้าน Cybersecurity, การประเมินความเสี่ยง, และการเข้าใจมาตรการความปลอดภัย (เช่น ISO 27001, GDPR)

3. Software as a Service (SaaS) Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ที่เป็นบริการ (SaaS) เช่น CRM (Customer Relationship Management), ERP (Enterprise Resource Planning) หรือซอฟต์แวร์บริหารจัดการโครงการ (Project Management Software)
  • ความรู้ที่ควรมี: ทักษะการสื่อสาร, ความเข้าใจใน Business Process ของลูกค้า, ความสามารถในการสาธิตการใช้งานซอฟต์แวร์

4. Artificial Intelligence (AI) & Machine Learning Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชัน AI และ Machine Learning เช่น Chatbots, Data Analytics Platforms และ Predictive Analytics ให้กับธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI/ML, Data Science, การวิเคราะห์ข้อมูล, และความสามารถในการอธิบายเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย

5. Enterprise Software Sales
  • รายละเอียด: ขายซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในองค์กร เช่น SAP, Oracle หรือ Microsoft Dynamics ที่ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน, ทรัพยากรมนุษย์, Supply Chain
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจในกระบวนการธุรกิจ, ประสบการณ์การขาย B2B, และทักษะการเจรจาในระดับองค์กร

6. IT Hardware Sales
  • รายละเอียด: ขายอุปกรณ์ IT เช่น Servers, Networking Equipment, Data Storage Solutions และอุปกรณ์ IoT ให้กับองค์กรที่ต้องการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี Hardware, การประเมินโครงสร้างพื้นฐาน IT ของลูกค้า, ทักษะการขายและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

7. FinTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันทางการเงิน เช่น Payment Gateways, Digital Wallets, และแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ให้กับสถาบันการเงินและธุรกิจต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเรื่องการเงินและธนาคาร, เทคโนโลยี FinTech, การปฏิบัติตามกฎหมายด้านการเงิน (เช่น AML, KYC)

8. EdTech Sales
  • รายละเอียด: ขายเทคโนโลยีด้านการศึกษา เช่น e-Learning Platforms, Virtual Classrooms, และระบบบริหารจัดการการเรียนการสอน (LMS) ให้กับสถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ
  • ความรู้ที่ควรมี: ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรม, การเข้าใจปัญหาและความต้องการของสถานศึกษา, การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน

9. HealthTech Sales
  • รายละเอียด: ขายโซลูชันด้านสุขภาพ เช่น Telemedicine Platforms, Wearable Health Devices, และ Electronic Health Records (EHR) Systems ให้กับโรงพยาบาลและคลินิก
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจเกี่ยวกับวงการ Healthcare, การวิเคราะห์ความต้องการของสถานพยาบาล, กฎระเบียบด้านสุขภาพ (เช่น HIPAA)

10. Digital Marketing Solutions Sales
  • รายละเอียด: ขายเครื่องมือการตลาดดิจิทัล เช่น SEO Tools, Social Media Management Platforms, และ Marketing Automation Solutions ให้กับบริษัทที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์
  • ความรู้ที่ควรมี: ความเข้าใจด้านการตลาดดิจิทัล, การใช้ SEO, SEM, และการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด, ทักษะการทำ Presentation

ทักษะเพิ่มเติมที่ควรมีสำหรับงาน Sales ในสาย Tech

  • ทักษะการนำเสนอ (Presentation Skills): เพื่อดึงดูดและสร้างความสนใจให้กับลูกค้า
  • ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills): เพื่อปิดการขายและสร้างข้อตกลงที่เป็นประโยชน์
  • ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Savvy): การเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
  • ทักษะการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM Skills): การใช้งานเครื่องมือ CRM เช่น Salesforce เพื่อบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • การเรียนรู้และปรับตัว (Adaptability): การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

บทสรุป การเข้าสู่อาชีพเหล่านี้ต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน แต่เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้สูงและมีความท้าทายที่น่าตื่นเต้นในโลกของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง

Phishing ภัยอันตรายใกล้ตัว แต่ป้องกันได้

Phishing คืออะไร

Phising Malware

Phishing (ฟิชชิง) เป็นรูปแบบของการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตที่มุ่งเน้นการหลอกลวงให้ผู้ใช้งานเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลบัตรเครดิต หรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ โดยการแสร้งเป็นบุคคลหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือผ่านทางอีเมล ข้อความ หรือเว็บไซต์ที่ปลอมแปลงขึ้นมา

ติดตั้งแอปมือถือให้ปลอดภัย

Mobile App

การติดตั้งแอปพลิเคชันบนมือถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแอปพลิเคชันอย่างไม่ระมัดระวังอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงในการเกิดปัญหาต่างๆ เช่น การติดมัลแวร์หรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว 

Ransomware-as-a-Service คืออะไร

Ransomware-as-a-Service

ในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจและองค์กรต่างพึ่งพาเทคโนโลยีในการดำเนินงาน ระบบเครือข่าย และข้อมูล จึงกลายเป็นทรัพย์สินสำคัญที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างสูงสุด 

ปรับแต่ง Windows Defender ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Antivirus
ฟรีแอนตี้ไวรัสที่มาพร้อมกับ Windows   

การป้องกันไวรัสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เราพึ่งพาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในการทำงาน การเรียนรู้ และการติดต่อสื่อสาร ไวรัสและมัลแวร์สามารถเข้าสู่ระบบของเราได้ผ่านทางไฟล์ที่ดาวน์โหลด ลิงก์ที่น่าสงสัย หรือแม้แต่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 

อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญสูญหาย ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย หรือระบบได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โปรแกรมป้องกันไวรัส เช่น Windows Defender ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์เหล่านี้ โดยการตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง 

Windows Security

การตั้งค่าให้ระบบมีการอัปเดตอยู่เสมอและการระมัดระวังในกิจกรรมออนไลน์ช่วยลดความเสี่ยงในการโดนโจมตี การป้องกันไวรัสจึงมีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ให้การใช้งานเทคโนโลยีเป็นไปอย่างปลอดภัยและมั่นใจ

6 วิธีการใช้ Windows Defender อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เปิดใช้งาน Windows Defender Real-time Protection
  • เข้าไปที่ Settings > Update & Security > Windows Security แล้วเลือก Virus & Threat Protection
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟีเจอร์ Real-time protection ถูกเปิดใช้งาน เพื่อให้ Windows Defender ตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง

2. การตั้งค่าและอัปเดต Windows Defender เป็นประจำ
  • Windows Defender จะมีการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณเปิดใช้งาน Windows Update เพื่อรับการอัปเดตล่าสุดเสมอ
  • การอัปเดตเป็นประจำช่วยให้ Windows Defender สามารถป้องกันไวรัสและมัลแวร์ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ใช้งานการสแกนระบบ
  • สามารถเลือกสแกนประเภทต่าง ๆ ได้แก่ Quick Scan (สแกนเร็ว), Full Scan (สแกนทั้งหมด), และ Custom Scan (สแกนเฉพาะโฟลเดอร์หรือไฟล์)
  • ควรทำ Full Scan อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย และใช้ Custom Scan เมื่อสงสัยว่ามีไฟล์น่าสงสัยในโฟลเดอร์เฉพาะ

4. เปิดใช้งาน Controlled Folder Access
  • Controlled Folder Access เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันไฟล์ในโฟลเดอร์สำคัญจากแรนซัมแวร์และมัลแวร์
  • ไปที่ Virus & Threat Protection > Ransomware Protection > Manage Controlled Folder Access และเปิดใช้งาน

5. ระมัดระวังการดาวน์โหลดไฟล์และการคลิกลิงก์
  • ไม่ควรดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่คุ้นเคยในอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
  • การระมัดระวังนี้ช่วยลดโอกาสการติดไวรัสหรือมัลแวร์จากการดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว

6. ใช้การตั้งค่าการป้องกันอื่น ๆ เพิ่มเติม
  • Windows Defender ยังมี Firewall ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยไปที่ Windows Security > Firewall & network protection
  • ตรวจสอบการตั้งค่าของ Firewall ให้มั่นใจว่าเปิดใช้งานสำหรับเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ทุกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก

บทสรุป การใช้งาน Windows Defender ร่วมกับการระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นวิธีป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบและข้อมูลของคุณ

คำศัพท์ 100 คำระบบความปลอดภัย

vocabulary

ในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์ การทำความเข้าใจคำศัพท์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบรักษาความปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความเข้าใจและ จะได้หาทางปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวได้ดีมากขึ้น 

ประเภทของซอฟต์แวร์

About Software

ซอฟต์แวร์เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนการทำงานและการพัฒนาในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ซอฟต์แวร์เหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนความต้องการของผู้ใช้และองค์กร 

สร้างเกราะคุ้มกันให้คอมพิวเตอร์ Windows

Protection Windows Computer
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์และมัลแวร์ต่างๆ การสร้าง "เกราะคุ้มกัน" ให้กับคอมพิวเตอร์ Windows ของคุณไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานของระบบอีกด้วย

เหตุผลที่ต้องทำ Windows Update

Windows Update

เรื่องน่ารู้ สำหรับคนใช้ Windows

Windows อัพเดท (Windows Update) คือกระบวนการที่ Microsoft ใช้เพื่อปรับปรุงและแก้ไขระบบปฏิบัติการ Windows ของคอมพิวเตอร์ โดยการอัพเดทเหล่านี้สามารถรวมถึงการปรับปรุงด้านความปลอดภัย, ฟีเจอร์ใหม่, การแก้ไขข้อบกพร่อง และการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ