The Most/Recent Articles

แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา ไวรัส จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา ไวรัส จัดเรียงตามวันที่ แสดงโพสต์ทั้งหมด

แบบทดสอบความรู้ไวรัสคอมพิวเตอร์

Virus computer quiz

ในโลกยุคดิจิทัลนี้ การเข้าใจและรับมือกับไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ทุกคนควรให้ความสนใจ แบบทดสอบนี้ จะช่วยให้คุณทดสอบความรู้ เกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์ รวมถึงวิธีการป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น 

ในการทำแบบทดสอบนี้ คุณจะได้รู้ถึงความเสี่ยงต่างๆ และวิธีการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญของคุณจากการโจมตีด้วยไวรัส นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการเพิ่มพูนความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของคุณเองด้วย


10 ข้อ แบบทดสอบความรู้ไวรัสคอมพิวเตอร์

1. ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร?
   A. โปรแกรมที่ทำงานได้ดี
   B. โปรแกรมที่ทำใช้ตรวจสอบคอมพิวเตอร์
   C. โปรแกรมที่ทำให้คอมพิวเตอร์เสียหายหรือทำงานผิดพลาด
   D. โปรแกรมที่ช่วยในการทำงาน

2. ชนิดของไวรัสที่แพร่กระจายผ่านอีเมลเรียกว่าอะไร?
   A. ไวรัสโทรจัน
   B. ไวรัสเวิร์ม
   C. ไวรัสสปายแวร์
   D. ไวรัสแบ็คดอร์

3. โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจจับและลบไวรัสคอมพิวเตอร์เรียกว่าอะไร?
   A. โปรแกรมรักษาความปลอดภัย
   B. โปรแกรมจัดการไฟล์
   C. โปรแกรมแอนตี้ไวรัส
   D. โปรแกรมคอมพิวเตอร์

4. ไวรัสคอมพิวเตอร์ประเภทใดที่สามารถทำสำเนาตัวเองและแพร่กระจายได้โดยไม่ต้องการการกระทำของผู้ใช้?
   A. ไวรัสโทรจัน
   B. ไวรัสเวิร์ม
   C. ไวรัสสปายแวร์
   D. ไวรัสแอดแวร์

5. การอัปเดตโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเป็นประจำมีความสำคัญอย่างไร?
   A. เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูล
   B. เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์
   C. เพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันไวรัสใหม่ๆ
   D. เพื่อแก้ไขปัญหาทางเทคนิค

6. การดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจเสี่ยงต่อการติดไวรัสประเภทใด?
   A. ไวรัสแอดแวร์
   B. ไวรัสโทรจัน
   C. ไวรัสสปายแวร์
   D. ไวรัสเวิร์ม

7. เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างไวรัสหรือมัลแวร์ที่ไม่เป็นอันตรายซึ่งถูกใช้เพื่อการศึกษาเรียกว่าอะไร?
   A. ไวรัสทดสอบ
   B. ไวรัสตัวอย่าง
   C. ไวรัสทดลอง
   D. ไวรัสหลอกลวง

8. วิธีการที่ช่วยป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดคืออะไร?
   A. การใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัส
   B. การเปิดใช้งานไฟร์วอลล์
   C. การอัปเดตระบบปฏิบัติการ
   D. การหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

9. ไวรัสประเภทใดที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบปฏิบัติการและขโมยข้อมูลส่วนบุคคล?
   A. ไวรัสสปายแวร์
   B. ไวรัสเวิร์ม
   C. ไวรัสโทรจัน
   D. ไวรัสแอดแวร์

10. การเข้ารหัสข้อมูลจะช่วยป้องกันภัยคุกคามจากไวรัสคอมพิวเตอร์ในลักษณะใด?
    A. การทำให้ข้อมูลไม่สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    B. การปกป้องข้อมูลจากการสูญหาย
    C. การทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้น
    D. การลดขนาดของไฟล์ข้อมูล


เฉลยคำตอบ

1. C. โปรแกรมที่ทำให้คอมพิวเตอร์เสียหายหรือทำงานผิดพลาด
2. B. ไวรัสเวิร์ม
3. C. โปรแกรมแอนตี้ไวรัส
4. B. ไวรัสเวิร์ม
5. C. เพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันไวรัสใหม่ๆ
6. B. ไวรัสโทรจัน
7. B. ไวรัสตัวอย่าง
8. A. การใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัส
9. A. ไวรัสสปายแวร์
10. A. การทำให้ข้อมูลไม่สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ปรับแต่ง Windows Defender ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Antivirus
ฟรีแอนตี้ไวรัสที่มาพร้อมกับ Windows   

การป้องกันไวรัสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เราพึ่งพาคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในการทำงาน การเรียนรู้ และการติดต่อสื่อสาร ไวรัสและมัลแวร์สามารถเข้าสู่ระบบของเราได้ผ่านทางไฟล์ที่ดาวน์โหลด ลิงก์ที่น่าสงสัย หรือแม้แต่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 

อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญสูญหาย ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย หรือระบบได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โปรแกรมป้องกันไวรัส เช่น Windows Defender ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์เหล่านี้ โดยการตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง 

Windows Security

การตั้งค่าให้ระบบมีการอัปเดตอยู่เสมอและการระมัดระวังในกิจกรรมออนไลน์ช่วยลดความเสี่ยงในการโดนโจมตี การป้องกันไวรัสจึงมีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ให้การใช้งานเทคโนโลยีเป็นไปอย่างปลอดภัยและมั่นใจ

6 วิธีการใช้ Windows Defender อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เปิดใช้งาน Windows Defender Real-time Protection
  • เข้าไปที่ Settings > Update & Security > Windows Security แล้วเลือก Virus & Threat Protection
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟีเจอร์ Real-time protection ถูกเปิดใช้งาน เพื่อให้ Windows Defender ตรวจสอบและป้องกันไวรัสในเวลาจริง

2. การตั้งค่าและอัปเดต Windows Defender เป็นประจำ
  • Windows Defender จะมีการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณเปิดใช้งาน Windows Update เพื่อรับการอัปเดตล่าสุดเสมอ
  • การอัปเดตเป็นประจำช่วยให้ Windows Defender สามารถป้องกันไวรัสและมัลแวร์ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ใช้งานการสแกนระบบ
  • สามารถเลือกสแกนประเภทต่าง ๆ ได้แก่ Quick Scan (สแกนเร็ว), Full Scan (สแกนทั้งหมด), และ Custom Scan (สแกนเฉพาะโฟลเดอร์หรือไฟล์)
  • ควรทำ Full Scan อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย และใช้ Custom Scan เมื่อสงสัยว่ามีไฟล์น่าสงสัยในโฟลเดอร์เฉพาะ

4. เปิดใช้งาน Controlled Folder Access
  • Controlled Folder Access เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันไฟล์ในโฟลเดอร์สำคัญจากแรนซัมแวร์และมัลแวร์
  • ไปที่ Virus & Threat Protection > Ransomware Protection > Manage Controlled Folder Access และเปิดใช้งาน

5. ระมัดระวังการดาวน์โหลดไฟล์และการคลิกลิงก์
  • ไม่ควรดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่คุ้นเคยในอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
  • การระมัดระวังนี้ช่วยลดโอกาสการติดไวรัสหรือมัลแวร์จากการดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว

6. ใช้การตั้งค่าการป้องกันอื่น ๆ เพิ่มเติม
  • Windows Defender ยังมี Firewall ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยไปที่ Windows Security > Firewall & network protection
  • ตรวจสอบการตั้งค่าของ Firewall ให้มั่นใจว่าเปิดใช้งานสำหรับเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ทุกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก

บทสรุป การใช้งาน Windows Defender ร่วมกับการระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นวิธีป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบและข้อมูลของคุณ

Free Antivirus ใช้ได้จริงหรือ

Free Antivirus

ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การปกป้องข้อมูลและอุปกรณ์จากไวรัสและมัลแวร์เป็นสิ่งจำเป็น การติดตั้งแอนตี้ไวรัสซอฟต์แวร์ฟรี เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ 

อาการติดไวรัสเรียกค่าไถ่ Ransomware

ไวรัสร้ายแรงระดับต้นๆ

Ransomware Virus

ไวรัสเรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware คือประเภทของมัลแวร์ (Malware) ที่ออกแบบมาเพื่อเข้ารหัสไฟล์หรือระบบของเหยื่อ และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกไฟล์หรือระบบเหล่านั้น ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส ส่วนใหญ่จะไม่สามารถถอดรหัสได้ด้วยตัวเรา ต้องให้ผู้ที่เข้ารหัสเท่านั้น

รู้ทัน สแกมเมอร์ (Scammer)

Strong Password

สแกมเมอร์ (Scammer) คือบุคคลหรือกลุ่มคนที่ใช้วิธีการหลอกลวงเพื่อให้ได้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือเงินจากเหยื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สแกมเมอร์มักจะใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การส่งอีเมลปลอม การโทรศัพท์ การส่งข้อความ หรือการใช้เว็บไซต์ปลอม เพื่อทำให้เหยื่อเชื่อและยอมให้ข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ

การป้องกันสแกมเมอร์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สิน ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของแต่ละหัวข้อพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

6 วิธีจัดการกับสแกมเมอร์

1. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวโดยง่าย

  • รายละเอียด การให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัสผ่าน เลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลที่สำคัญอื่น ๆ ควรทำเฉพาะเมื่อคุณมั่นใจในความปลอดภัยและตัวตนของผู้ที่ขอข้อมูล การให้ข้อมูลเหล่านี้โดยง่ายสามารถนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือการเงินได้

  • ตัวอย่าง หากมีคนโทรมาหาคุณโดยอ้างว่าเป็นตัวแทนธนาคารและขอให้คุณยืนยันข้อมูลบัตรเครดิต คุณควรขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล และติดต่อธนาคารด้วยตนเองเพื่อความมั่นใจ


2. ตรวจสอบที่มาของการติดต่อ

  • รายละเอียด สแกมเมอร์มักจะใช้เทคนิคการปลอมแปลงที่อยู่อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์เพื่อให้ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ก่อนที่จะให้ข้อมูลใด ๆ ควรตรวจสอบที่มาของการติดต่อให้แน่ใจว่ามาจากแหล่งที่ถูกต้อง

  • ตัวอย่าง หากได้รับอีเมลที่ดูเหมือนจะมาจากธนาคาร โดยแจ้งให้คุณคลิกลิงก์เพื่ออัปเดตข้อมูล ควรตรวจสอบที่อยู่อีเมลของผู้ส่งว่ามาจากโดเมนที่แท้จริงของธนาคารหรือไม่ เช่น อีเมลจากธนาคารจริงอาจมีโดเมนแบบ "bank.com" ไม่ใช่ "bank-secure.com"


3. ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและอัปเดตอยู่เสมอ

  • รายละเอียด การใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการโจมตีจากสแกมเมอร์ ซอฟต์แวร์เหล่านี้จะช่วยสแกนและกำจัดไวรัสหรือมัลแวร์ที่อาจถูกติดตั้งในอุปกรณ์โดยไม่รู้ตัว

  • ตัวอย่าง การใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เป็นที่นิยม เช่น Avast, Norton หรือ McAfee และตั้งค่าให้อัปเดตโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไวรัสหรือมัลแวร์ที่อาจเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางอีเมลหรือเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย


4. ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน

  • รายละเอียด การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication หรือ 2FA) เป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงบัญชีออนไลน์ โดยการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมหลังจากที่กรอกรหัสผ่าน เช่น การส่งรหัส OTP ผ่าน SMS หรือการใช้แอปยืนยันตัวตน

  • ตัวอย่าง เมื่อคุณเข้าสู่ระบบบัญชีธนาคารออนไลน์ หลังจากกรอกรหัสผ่านแล้ว ระบบจะส่งรหัส OTP ไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณ คุณต้องกรอกรหัสนี้เพิ่มเติมเพื่อเข้าถึงบัญชี ซึ่งทำให้สแกมเมอร์ที่มีเพียงรหัสผ่านไม่สามารถเข้าถึงบัญชีได้


5. ระวังการคลิกลิงก์ในอีเมลหรือข้อความ

  • รายละเอียด ลิงก์ในอีเมลหรือข้อความที่น่าสงสัยมักจะนำไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่ออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงิน การหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์เหล่านี้เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันสแกม

  • ตัวอย่าง หากคุณได้รับอีเมลจากที่ดูเหมือนจะมาจาก PayPal โดยขอให้คุณคลิกที่ลิงก์เพื่อยืนยันบัญชี ควรหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ในอีเมลนั้น แต่ให้เข้าเว็บไซต์ PayPal โดยตรงผ่านเบราว์เซอร์และตรวจสอบข้อความที่เกี่ยวข้อง


6. ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน

  • รายละเอียด รหัสผ่านที่แข็งแรงควรประกอบด้วยตัวอักษรใหญ่ ตัวอักษรเล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ นอกจากนี้ควรใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละบัญชีเพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากการใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายเว็บไซต์

  • ตัวอย่าง แทนที่จะใช้รหัสผ่านง่าย ๆ อย่าง "password123" ควรใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว เช่น "T#9kz1!Fh8". การใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) สามารถช่วยในการสร้างและจัดการรหัสผ่านที่แข็งแรงสำหรับแต่ละบัญชีได้อย่างปลอดภัย


สแกมเมอร์ใช้วิธีไหนบ่อยที่สุด  

1. Phishing (ฟิชชิ่ง)

  • รายละเอียด ฟิชชิ่งเป็นวิธีการหลอกลวงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยสแกมเมอร์จะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม หรือบริการออนไลน์ เพื่อหลอกให้เหยื่อคลิกลิงก์ไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูคล้ายกับของจริง ซึ่งจะขอให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลการเงินอื่น ๆ

  • ตัวอย่าง คุณได้รับอีเมลจาก "ธนาคาร" ที่แจ้งว่ามีปัญหากับบัญชีของคุณ และขอให้คุณคลิกที่ลิงก์เพื่อยืนยันข้อมูล เมื่อคุณคลิกไปที่ลิงก์นั้น คุณจะถูกพาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนเว็บไซต์ของธนาคารจริง ๆ และถูกขอให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ


2. Spoofing (สปูฟฟิ่ง)

  • รายละเอียด สปูฟฟิ่งเป็นการปลอมแปลงที่อยู่ IP, หมายเลขโทรศัพท์, หรือที่อยู่อีเมลเพื่อหลอกลวงเหยื่อ โดยสแกมเมอร์จะทำให้ดูเหมือนว่าการติดต่อมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ให้ดูเหมือนเป็นหมายเลขของหน่วยงานรัฐหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ

  • ตัวอย่าง คุณได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ดูเหมือนจะมาจากธนาคาร หรือหน่วยงานรัฐบาล สแกมเมอร์ที่ปลอมตัวอาจขอให้คุณให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงินเพื่อ "ยืนยัน" บัญชี


3. Tech Support Scam (การหลอกลวงด้านการสนับสนุนทางเทคนิค)

  • รายละเอียด สแกมเมอร์จะติดต่อเหยื่อโดยอ้างว่าเป็นตัวแทนฝ่ายสนับสนุนทางเทคนิคของบริษัทซอฟต์แวร์หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แล้วแจ้งว่าอุปกรณ์ของเหยื่อมีปัญหาหรือมีไวรัส และขอให้เหยื่อติดตั้งซอฟต์แวร์พิเศษหรือให้ข้อมูลการเข้าถึงอุปกรณ์

  • ตัวอย่าง คุณได้รับโทรศัพท์จากคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของ Microsoft แจ้งว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัส และขอให้คุณดาวน์โหลดโปรแกรมเพื่อแก้ไขปัญหา โปรแกรมนั้นอาจเป็นมัลแวร์ที่ช่วยให้สแกมเมอร์เข้าถึงข้อมูลของคุณได้


4. Social Media Scam (การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดีย)

  • รายละเอียด สแกมเมอร์จะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อหลอกลวงเหยื่อ โดยอาจจะสร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อแฝงตัวเข้าหาเหยื่อ หรือใช้บัญชีที่ถูกแฮ็กเพื่อส่งข้อความปลอมเพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงิน

  • ตัวอย่าง คุณได้รับข้อความจากเพื่อนใน Facebook ที่ขอให้ช่วยส่งเงินเพราะเพื่อนกำลังเจอปัญหา แต่จริง ๆ แล้วบัญชีของเพื่อนถูกแฮ็กและข้อความนั้นมาจากสแกมเมอร์


5. Fake Online Shopping Sites (เว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ปลอม)

  • รายละเอียด สแกมเมอร์จะสร้างเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ปลอมที่ดูเหมือนกับเว็บไซต์จริง ๆ เพื่อหลอกให้เหยื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่มีอยู่จริง

  • ตัวอย่าง คุณพบเว็บไซต์ที่เสนอขายสินค้ายอดนิยมในราคาที่ต่ำมาก และคุณตัดสินใจสั่งซื้อ เมื่อคุณชำระเงิน สินค้าจะไม่ถูกส่งมาและคุณจะเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์


วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่สแกมเมอร์นิยมใช้ การรู้เท่าทันและระมัดระวังต่อวิธีการเหล่านี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อ ที่สำคัญไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้ามีการร้องขอเรื่องการโอนเงิน สันนิฐานไว้ก่อนว่า น่าจะถูกหลอกลวง !

บทสรุป การเรียนรู้เท่าทัน สแกมเมอร์ (Scammer) และการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันเหล่านี้ จะช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับข้อมูลส่วนบุคคลและป้องกันการตกเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์ในชีวิตประจำวัน

Malware คืออะไร

Malware Software
Malware หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อทำลายหรือรบกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย โดยมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีการทำงานและเป้าหมายที่แตกต่างกัน 

8 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัย

คอมพิวเตอร์คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้

Antivirus

คอมพิวเตอร์ คืออุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน และก่อนที่จะพูดถึง วิธีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี ให้มีความปลอดภัย เรามาศึกษาภัยอันตรายที่อาจเกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบอะไรบ้าง คอมพิวเตอร์จะพัง หรืออย่างไร มาหาคำตอบกัน

ยุคนี้ Antivirus เอาไม่อยู่แล้ว

No Threats Found

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การปกป้องระบบและข้อมูลจากภัยคุกคามไซเบอร์เป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้โปรแกรม Antivirus เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์เบื้องต้น แต่ยังไม่เพียงพอ

องค์กรในปัจจุบัน มีการที่เผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การโจมตีแบบ Zero-day หรือการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ด้วยเหตุนี้ ระบบ Endpoint Security จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคาม โดยครอบคลุมอุปกรณ์ทุกเครื่องในเครือข่าย พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR), การป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP), การควบคุมการเข้าถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ระบบ Endpoint Security ยังสามารถบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้งานในเครือข่ายได้แบบรวมศูนย์ ช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น


Antivirus vs Endpoint Security  

1. Antivirus  

โปรแกรม Antivirus ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัส มัลแวร์ สปายแวร์ และโทรจัน โดยตรวจจับไฟล์ที่น่าสงสัยหรือพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย ส่วนใหญ่จะเน้นปกป้องระบบในลักษณะพื้นฐาน เช่น การสแกนไวรัส การป้องกันแบบเรียลไทม์ (Real-time Protection) และการกักกันไฟล์ที่ไม่ปลอดภัย แม้ว่า Antivirus ในปัจจุบันจะพัฒนาขึ้นและสามารถป้องกันมัลแวร์ที่ซับซ้อนได้ แต่ยังมีขีดจำกัดในการจัดการกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน

2. Endpoint Security

Endpoint Security เป็นโซลูชันที่มีขอบเขตกว้างกว่าการป้องกันไวรัสโดยทั่วไป ซึ่งออกแบบมาสำหรับการป้องกันอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoints) เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก มือถือ และเซิร์ฟเวอร์ ในเครือข่ายองค์กร โดย Endpoint Security มีคุณสมบัติที่มากกว่า Antivirus ทั่วไปและครอบคลุมการป้องกันทั้งระบบ
  • Advanced Threat Protection: ป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง เช่น การโจมตีแบบ Zero-day และมัลแวร์ที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับ
  • Data Loss Prevention (DLP): ป้องกันข้อมูลสำคัญไม่ให้รั่วไหลออกจากระบบ
  • Device Control: ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์เสริม เช่น USB
  • Endpoint Detection and Response (EDR): ตรวจสอบและตอบสนองต่อการบุกรุกที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์
  • Application Whitelisting: อนุญาตเฉพาะแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยให้สามารถทำงานได้ในระบบ
  • Patch Management: จัดการอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยของระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่

ความแตกต่างระหว่าง Antivirus และ Endpoint Security

  • ขอบเขตการป้องกัน: Antivirus ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ Endpoint Security ครอบคลุมมากกว่าและออกแบบเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อนในระดับองค์กร

  • การจัดการแบบรวมศูนย์: Endpoint Security มักมีระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ (Centralized Management) ที่ช่วยให้องค์กรจัดการอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การตอบสนองต่อภัยคุกคาม: Endpoint Security มีระบบที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อัตโนมัติ และตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้ใช้ภายในเครือข่ายองค์กร


บทสรุป การใช้ Endpoint Security เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากภัยคุกคามมีความซับซ้อนเกินกว่าที่โปรแกรม Antivirus ธรรมดาจะจัดการได้ Endpoint Security ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม (EDR) และการป้องกันข้อมูลรั่วไหล (DLP) ทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้แบบรวมศูนย์ สร้างเกราะป้องกันที่ครอบคลุมและมั่นคงมากขึ้น

ติดตั้งแอปมือถือให้ปลอดภัย

Mobile App

การติดตั้งแอปพลิเคชันบนมือถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแอปพลิเคชันอย่างไม่ระมัดระวังอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงในการเกิดปัญหาต่างๆ เช่น การติดมัลแวร์หรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว 

20 ข้อ คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

Computer mainboard
คุณรู้จัก คอมพิวเตอร์มากน้อยแค่ไหน?  

คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะใช้สำหรับงานธุรกิจ การศึกษา หรือความบันเทิง อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ในหลายด้าน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่อง 

ตัวอย่างความเข้าใจผิดเหล่านี้ เช่น การเชื่อว่า RAM มากขึ้นทำให้เครื่องเร็วขึ้นเสมอ หรือว่าการปิดเครื่องบ่อยครั้งจะช่วยยืดอายุการใช้งาน ทั้งที่ในความเป็นจริงมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ 

การเรียนรู้วิธีการใช้งานที่ถูกต้องและเข้าใจข้อเท็จจริงที่แท้จริง จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้น ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือที่มีค่าเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

20 หัวข้อ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  

1. RAM ที่สูงขึ้นทำให้คอมพิวเตอร์เร็วขึ้นเสมอ
  • ความเข้าใจผิด: RAM มากขึ้นทำให้คอมพิวเตอร์เร็วขึ้นทุกกรณี
  • ข้อเท็จจริง: RAM มีผลต่อประสิทธิภาพ แต่หากมากเกินกว่าที่ระบบต้องการจะไม่ช่วยเพิ่มความเร็วอีก

2. คอมพิวเตอร์จะเร็วขึ้นหากมีแอปทำงานในพื้นหลังมากมาย
  • ความเข้าใจผิด: เปิดหลายแอปในพื้นหลังเพื่อให้เข้าถึงได้เร็วขึ้น
  • ข้อเท็จจริง: แอปที่เปิดในพื้นหลังมากจะใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น ทำให้เครื่องช้าลง

3. การลบไฟล์ช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ
  • ความเข้าใจผิด: ลบไฟล์แล้วยังไม่เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ
  • ข้อเท็จจริง: ไฟล์ที่ลบแล้วจะย้ายไปถังขยะ หากไม่ล้างถังขยะจะไม่เพิ่มพื้นที่

4. ต้อง Defragment ฮาร์ดดิสก์บ่อยๆ
  • ความเข้าใจผิด: คอมพิวเตอร์ต้องการการจัดเรียงดิสก์บ่อยครั้ง
  • ข้อเท็จจริง: ในฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ไม่จำเป็นต้องทำ Defragment

5. ปิดคอมพิวเตอร์ทุกครั้งเพื่อรักษาอายุการใช้งาน
  •    - ความเข้าใจผิด: การปิดคอมพิวเตอร์ทุกครั้งจะยืดอายุ
  •    - ข้อเท็จจริง: การรีสตาร์ทบ่อยเกินไปอาจทำให้ฮาร์ดแวร์เสียหายได้ การ Sleep หรือ Hibernate เป็นทางเลือกที่ดี

6. มัลแวร์มีเฉพาะในเว็บไซต์อันตรายเท่านั้น
  • ความเข้าใจผิด: ไวรัสและมัลแวร์มีเฉพาะในเว็บไซต์น่าสงสัย
  • ข้อเท็จจริง: ไวรัสสามารถติดมาทางอีเมล ไฟล์ดาวน์โหลด หรือแม้แต่ในเว็บไซต์ที่ดูปลอดภัย

7. จำเป็นต้องมีแอนตี้ไวรัสแยกสำหรับ Mac
  • ความเข้าใจผิด: Mac ไม่ต้องใช้แอนตี้ไวรัส
  • ข้อเท็จจริง: Mac สามารถติดมัลแวร์ได้เหมือนกับ Windows และต้องการการป้องกัน

8. การติดตั้งซอฟต์แวร์ฟรีจากทุกที่ไม่มีความเสี่ยง
  • ความเข้าใจผิด: การดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ฟรีไม่มีความเสี่ยง
  • ข้อเท็จจริง: ซอฟต์แวร์ฟรีจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจมีมัลแวร์

9. หน่วยประมวลผลหลายแกน (multi-core) ทำให้เครื่องทำงานเร็วขึ้นเสมอ
  • ความเข้าใจผิด: CPU หลายแกนจะทำให้ทุกงานทำได้เร็วขึ้น
  • ข้อเท็จจริง: ซอฟต์แวร์บางตัวไม่ได้ออกแบบมาใช้ทุกแกน

10. จอใหญ่ขึ้นแปลว่าคุณภาพดีขึ้น
  • ความเข้าใจผิด: หน้าจอใหญ่กว่าหมายถึงคุณภาพภาพที่ดีกว่า
  • ข้อเท็จจริง: ขนาดของจอไม่เกี่ยวกับความคมชัด ความละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ

11. พลังงานสำรอง (UPS) ไม่จำเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
  • ความเข้าใจผิด: UPS สำคัญเฉพาะกับองค์กร
  • ข้อเท็จจริง: UPS ป้องกันความเสียหายจากไฟฟ้าขัดข้องหรือไฟกระชาก

12. คอมพิวเตอร์ต้องใช้ซอฟต์แวร์ทำความสะอาดบ่อยๆ
  • ความเข้าใจผิด: ต้องใช้ซอฟต์แวร์ทำความสะอาดเพื่อเพิ่มความเร็ว
  • ข้อเท็จจริง: ระบบทำความสะอาดภายในของ Windows และ macOS เพียงพอแล้ว

13. Wi-Fi ช้ากว่าการเชื่อมต่อสายเสมอ
  • ความเข้าใจผิด: การเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi ช้ากว่า Ethernet เสมอ
  • ข้อเท็จจริง: Wi-Fi รุ่นใหม่เช่น Wi-Fi 6 มีความเร็วสูงมากจนใกล้เคียง Ethernet

14. คอมพิวเตอร์เก่าไม่สามารถอัปเกรดได้
  • ความเข้าใจผิด: เครื่องเก่าไม่สามารถอัปเกรดได้
  • ข้อเท็จจริง: ส่วนประกอบบางส่วน เช่น RAM หรือฮาร์ดดิสก์ สามารถอัปเกรดได้ในคอมพิวเตอร์หลายรุ่น

15. เปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ทำให้เครื่องเสียเร็วขึ้น
  • ความเข้าใจผิด: การเปิดเครื่องทิ้งไว้จะทำให้เสียหายได้ง่าย
  • ข้อเท็จจริง: การปิดและเปิดบ่อยครั้งอาจทำให้เครื่องเสียหายมากกว่าการปล่อยทิ้งไว้

16. ต้องติดตั้งโปรแกรมทุกตัวใน C: Drive
  • ความเข้าใจผิด: ต้องติดตั้งโปรแกรมในไดรฟ์ C เสมอ
  • ข้อเท็จจริง: โปรแกรมสามารถติดตั้งในไดรฟ์อื่นได้โดยไม่มีปัญหา

17. การเก็บข้อมูลบน Cloud ไม่ปลอดภัย
  • ความเข้าใจผิด: การใช้บริการ Cloud เสี่ยงต่อความปลอดภัยข้อมูล
  • ข้อเท็จจริง: บริการ Cloud ส่วนมากมีการเข้ารหัสและมาตรการความปลอดภัยสูง

18. การทำงานหลายแอปพร้อมกันบนคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดปัญหาเสมอ
  • ความเข้าใจผิด: เปิดหลายแอปทำให้คอมพิวเตอร์ช้าและทำงานได้ไม่ดี
  • ข้อเท็จจริง: คอมพิวเตอร์ที่มีสเปคดีสามารถทำงานหลายแอปพร้อมกันได้อย่างราบรื่น

19. ใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่เคยอัปเดตซอฟต์แวร์ก็ไม่เป็นไร
  • ความเข้าใจผิด: การข้ามการอัปเดตซอฟต์แวร์ไม่สำคัญ
  • ข้อเท็จจริง: การไม่อัปเดตทำให้เสี่ยงต่อปัญหาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ลดลง

20. SSD เสื่อมสภาพเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์แบบ HDD
  • ความเข้าใจผิด: SSD เสื่อมเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์แบบหมุน (HDD)
  • ข้อเท็จจริง: SSD มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นเมื่อใช้งานปกติ และไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนที่

บทสรุป เพื่อให้การใช้งานคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงสุดและหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและอัปเดตความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่เพียงแค่การใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง แต่ยังช่วยให้เราปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดีขึ้นอีกด้วย


วิธีป้องกัน Ransomware พร้อมวิธีทำ

Prevent Ransomware
มาทำความรู้จักภัยจากไวรัสเรียกค่าไถ่และแนวทางป้องกัน

Ransomware คือมัลแวร์ที่โจมตีระบบคอมพิวเตอร์โดยการเข้ารหัสไฟล์สำคัญและเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกข้อมูล ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงไฟล์หรือระบบของตนเองได้ เว้นแต่จะยอมจ่ายเงินตามที่แฮกเกอร์กำหนด 

ภัยคุกคามนี้มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยเป้าหมายหลักรวมถึงองค์กรธุรกิจ โรงพยาบาล และผู้ใช้ทั่วไป ปัญหาที่เกิดจาก Ransomware อาจมีผลกระทบกว้างขวาง เช่น การสูญเสียข้อมูลสำคัญ การหยุดชะงักของการดำเนินงานทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายสูงจากการกู้ข้อมูลหรือจ่ายค่าไถ่ 

นอกจากนี้ อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เกิดความเสียหายทางกฎหมายและชื่อเสียง การป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการสำรองข้อมูล การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย และการตระหนักถึงความเสี่ยงทางไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน


8 แนวทางป้องกัน Ransomware อย่างละเอียด

1. ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์
  • เลือกซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีฟีเจอร์ป้องกันแรนซัมแวร์ เช่น Bitdefender, Kaspersky หรือ Windows Defender (ฟรีใน Windows)
  • ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ทางการ
  • ติดตั้งและเปิดใช้งานการสแกนเรียลไทม์ (Real-Time Protection)
  • และที่สำคัญ ตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอัตโนมัติ เพื่อป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ

2. อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์
  • ใน Windows: ไปที่ Settings > Windows Update แล้วกด Check for Updates
  • 2. ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Software Update
  • 3. ในโปรแกรมอื่น ๆ เช่น Microsoft Office หรือ Browser: เลือก Help > Check for Updates
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม ให้เปิดใช้งาน Automatic Updates เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการป้องกันล่าสุดเสมอ

3. สำรองข้อมูลสำคัญ (Backup)
  • ใช้ External Drive หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, OneDrive, Dropbox
  • เลือกไฟล์สำคัญ เช่น รูปภาพ เอกสาร และไฟล์งาน
  • กำหนดเวลาสำรองข้อมูล เช่น ทุกสัปดาห์
  • ข้อแนะนำเพิ่มเติม ควรแยกการเก็บข้อมูลสำรองออกจากเครือข่ายหลัก (เช่น ถอด External Drive หลังสำรองข้อมูลเสร็จ)

4. ใช้หลักการให้สิทธิ์ขั้นต่ำ (Least Privilege)
  • สำหรับองค์กร: สร้างบัญชีผู้ใช้ตามบทบาท (Admin และ User)
  • สำหรับบุคคล: ไม่ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบ (Administrator) ในการใช้งานทั่วไป
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม เปิดใช้งานรหัสผ่านหรือ PIN ในบัญชี เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

5. ฝึกอบรมพนักงานหรือเรียนรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • จัดอบรมเกี่ยวกับการระวังอีเมลปลอม เช่น อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Udemy, YouTube หรือ Google
  • จำคีย์สำคัญ เช่น “ดู URL ให้แน่ใจว่าเป็น HTTPS” และ “อย่าเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย”

6. เปิดใช้งานไฟร์วอลล์
  • ใน Windows: ไปที่ Control Panel > System and Security > Windows Defender Firewall และเลือก Turn on Firewall
  • ใน macOS: ไปที่ System Preferences > Security & Privacy > Firewall
  • เคล็ดลับ: ตั้งค่ากฎเพื่อจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายจากแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น

7. แบ่งส่วนเครือข่าย (Network Segmentation)
  • ใช้เราเตอร์ที่รองรับการสร้างเครือข่ายย่อย (VLAN)
  • แยกการใช้งาน เช่น เครือข่ายสำหรับงาน และเครือข่ายสำหรับความบันเทิง
  • เคล็ดลับ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายหากไม่แน่ใจในการตั้งค่า

8. ใช้โซลูชันป้องกันสแปม (Spam Filtering)
  • ใช้บริการอีเมลที่มีระบบป้องกันสแปม เช่น Gmail หรือ Microsoft Outlook
  • ติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น SpamAssassin
  • ตั้งค่าการกรองอีเมลที่น่าสงสัยเข้าโฟลเดอร์สแปมโดยอัตโนมัติ
  • เคล็ดลับ: แจ้งผู้ใช้งานให้หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ในอีเมลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

บทสรุป การลดปัญหาจาก Ransomware เพียงแค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการโจมตีของ Ransomware ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับองค์กรที่ระบบเครือข่ายภายในและภายนอก

รายละเอียดเพิ่มเติม อาการติด Ransomware

#AntiVirus #Malware #Safety #Security 

สร้างเกราะคุ้มกันให้คอมพิวเตอร์ Windows

Protection Windows Computer
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์และมัลแวร์ต่างๆ การสร้าง "เกราะคุ้มกัน" ให้กับคอมพิวเตอร์ Windows ของคุณไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานของระบบอีกด้วย

เก่งคอมพิวเตอร์ไม่ยาก แค่ทำตามนี้

Secret Computer
อยากใช้งานคอมพิวเตอร์คล่องๆ ต้องทำยังไง !!  

การใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงาน แต่ยังช่วยเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล ทุกวันนี้ การใช้งานคอมพิวเตอร์กลายเป็นสิ่งสำคัญทั้งในการทำงานและชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเอกสาร การทำงานออนไลน์ หรือการใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ การเรียนรู้เคล็ดลับและเทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ไวรัสหรือการสูญหายของข้อมูล 

บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับ 12 ข้อที่ช่วยให้คุณเก่งขึ้นในการใช้คอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้งานจริงได้ การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


12 เคล็ดลับ ทำให้เก่งคอมพิวเตอร์

1. ฝึกใช้คีย์ลัด (Keyboard Shortcuts)  
   การใช้คีย์ลัดทำให้การทำงานรวดเร็วและสะดวกขึ้น ตัวอย่างเช่น
  • Ctrl+C เพื่อคัดลอกข้อความหรือไฟล์
  • Ctrl+V เพื่อวาง
  • Alt+Tab เพื่อสลับระหว่างโปรแกรมที่เปิดอยู่ 
ตัวอย่าง: ถ้าคุณทำงานหลายหน้าต่างพร้อมกัน เช่น การเขียนเอกสารและตอบอีเมล การใช้ Alt+Tab จะช่วยให้คุณสลับหน้าต่างได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้เมาส์

2. เรียนรู้การจัดการไฟล์ (File Management)  
   การตั้งชื่อไฟล์และโฟลเดอร์อย่างเป็นระบบช่วยให้หางานง่าย ตัวอย่างเช่น
  • สร้างโฟลเดอร์สำหรับ "งานปี 2024" แล้วแบ่งเป็นโฟลเดอร์ย่อยตามเดือน เช่น "มกราคม", "กุมภาพันธ์"
  • ตั้งชื่อไฟล์เช่น "รายงานการประชุม_มกราคม2024.docx" 
ตัวอย่าง: เมื่อคุณต้องการหารายงานการประชุมในเดือนมกราคม 2024 คุณสามารถเข้าไปที่โฟลเดอร์ได้ง่ายโดยไม่ต้องค้นหาเป็นเวลานาน

3. เรียนรู้การใช้โปรแกรมพื้นฐาน  
   การรู้วิธีใช้โปรแกรมเช่น Microsoft Word ช่วยให้ทำเอกสารได้เร็วขึ้น
  • Microsoft Word: ใช้สร้างเอกสารหรือเขียนรายงาน
  • Excel: สร้างตารางคำนวณ ตัวอย่างเช่น การทำงบประมาณหรือคำนวณยอดขาย
  • PowerPoint: นำเสนอข้อมูลด้วยภาพและกราฟิก 
ตัวอย่าง: คุณสามารถใช้ PowerPoint ทำสไลด์ที่มีแผนภูมิยอดขายรายปีเพื่อนำเสนองานประชุมได้อย่างเป็นมืออาชีพ

4. ฝึกใช้งานคลาวด์สตอเรจ (Cloud Storage)  
   การใช้งาน Google Drive หรือ Dropbox ทำให้คุณสามารถเข้าถึงไฟล์จากอุปกรณ์ใดก็ได้
  • อัปโหลดไฟล์งานไปยัง Google Drive จากคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน แล้วเปิดอ่านหรือแก้ไขจากมือถือได้ทันที 
ตัวอย่าง: คุณทำงานที่ออฟฟิศแล้วลืมส่งไฟล์งานให้ลูกค้า แต่สามารถเข้า Google Drive ผ่านมือถือแล้วส่งไฟล์ได้ทันที

5. ป้องกันไวรัสและมัลแวร์  
   ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเช่น Avast หรือ Windows Defender เพื่อป้องกันคอมพิวเตอร์จากภัยคุกคาม
  • หมั่นสแกนไฟล์หรืออุปกรณ์ USB ก่อนเปิดใช้งาน
  • อย่าคลิกลิงก์จากอีเมลที่ไม่น่าเชื่อถือ 
ตัวอย่าง: หากมีอีเมลที่อ้างว่าเป็นธนาคารส่งมาแต่มีลิงก์แปลกๆ การคลิกเข้าไปอาจทำให้โดนขโมยข้อมูลส่วนตัว โปรแกรมป้องกันไวรัสจะช่วยตรวจจับได้

6. อัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ  
   อัปเดตระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
  • Windows Update: ติดตั้งแพตช์ความปลอดภัยใหม่ ๆ
  • อัปเดตแอปพลิเคชันเช่น Chrome เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า 
ตัวอย่าง: การอัปเดต Windows ช่วยป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์ใหม่ ๆ ที่ช่องโหว่ในระบบเก่าอาจเปิดโอกาสให้โจมตีได้

7. เรียนรู้การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น  
   หากคอมพิวเตอร์ทำงานช้าหรือแฮงค์ ลองใช้วิธีการรีสตาร์ทหรือลบไฟล์ชั่วคราว
  • ใช้ Task Manager (Ctrl+Shift+Esc) เพื่อตรวจสอบว่าโปรแกรมใดใช้ทรัพยากรมากเกินไป
  • ลบไฟล์ในโฟลเดอร์ Temp เพื่อคืนพื้นที่ดิสก์ 
ตัวอย่าง: หากเครื่องคอมช้าขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล การปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นผ่าน Task Manager อาจช่วยทำให้คอมพิวเตอร์เร็วขึ้นได้

8. ตั้งค่าการสำรองข้อมูล (Backup)  
   สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอทั้งในฮาร์ดดิสก์ภายนอกหรือบนคลาวด์
  • ใช้ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกเพื่อสำรองไฟล์งานใหญ่ เช่น วิดีโอหรือโปรเจกต์
  • ใช้ Google Drive หรือ OneDrive สำรองเอกสารสำคัญอัตโนมัติ  
ตัวอย่าง: หากคอมพิวเตอร์ของคุณพัง คุณยังสามารถกู้คืนไฟล์สำคัญจากคลาวด์ได้อย่างง่ายดาย

9. ปรับแต่งการตั้งค่าระบบปฏิบัติการ  
   การปรับแต่งหน้าต่างหรือความละเอียดหน้าจอเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
  • ตั้งค่าหน้าจอให้เหมาะกับการอ่านและเขียน
  • ปรับการแสดงผลไอคอนและแท็บให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น  
ตัวอย่าง: หากคุณทำงานกับไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน คุณสามารถปรับขนาดหน้าต่างเพื่อให้เห็นหลายโปรแกรมพร้อมกันบนจอเดียว

10. ใช้เทคนิคการค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ  
    การใช้คำค้นหาที่แม่นยำช่วยให้คุณค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็ว
  • ใช้เครื่องหมายคำพูด (“”) ในการค้นหาข้อความที่ตรงเป๊ะ เช่น "วิธีปลูกต้นไม้ในร่ม"
  • ใช้เครื่องหมายลบ (-) เพื่อกรองคำที่ไม่ต้องการ เช่น “ปลูกต้นไม้ในร่ม -เฟิร์น”  
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการค้นหาวิธีปลูกต้นไม้ที่ไม่ใช่ต้นเฟิร์น คำค้น "ปลูกต้นไม้ในร่ม -เฟิร์น" จะช่วยให้คุณพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

11. ฝึกใช้ซอฟต์แวร์สร้างสรรค์  
    โปรแกรมเช่น Photoshop หรือ Canva ช่วยในการสร้างงานออกแบบหรือแก้ไขภาพ
  • Photoshop ใช้ในการแก้ไขภาพหรือปรับแต่งรูปถ่าย
  • Canva ใช้สร้างงานออกแบบเช่นโปสเตอร์หรือสไลด์นำเสนอ  
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการออกแบบโปสเตอร์งานอีเวนต์ Canva มีเทมเพลตที่ช่วยให้คุณออกแบบได้ง่ายและสวยงามโดยไม่ต้องมีทักษะการออกแบบสูง

12. รู้จักการใช้งานปลั๊กอิน (Plugins)  
    การติดตั้งปลั๊กอินในเบราว์เซอร์ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น เช่น
  • Grammarly: ปลั๊กอินช่วยตรวจสอบไวยากรณ์และคำสะกดในเอกสาร
  • Adblock: ปลั๊กอินช่วยบล็อกโฆษณาที่รบกวนบนเว็บไซต์  
ตัวอย่าง: หากคุณพิมพ์งานภาษาอังกฤษ Grammarly สามารถช่วยตรวจคำผิดและทำให้เอกสารดูมืออาชีพมากขึ้น

บทสรุป การมีความรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์อย่างดี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงาน และป้องกันปัญหาต่าง ๆ การเรียนรู้เคล็ดลับ 12 ข้อเหล่านี้ เช่น การใช้คีย์ลัด การจัดการไฟล์ และการสำรองข้อมูล จะช่วยให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น สรุปแบบฟันธง การมีทักษะในการใช้งานคอมพิวเตอร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคดิจิทัล

ปรับ Windows Firewall ให้ปลอดภัยสุดๆ

Windows Firewall

ในยุคดิจิทัลที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows คือ Windows Firewall

Windows Firewall ทำหน้าที่ป้องกันการเชื่อมต่อที่ไม่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากแฮกเกอร์หรือมัลแวร์ การตั้งค่า Firewall อย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มระดับการป้องกันให้คอมพิวเตอร์ของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยควบคุมแอปพลิเคชันและการสื่อสารในเครือข่ายให้เป็นไปตามที่คุณกำหนด 

การปรับแต่ง Firewall อย่างถูกต้องจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพยากรในระบบของคุณ บทความนี้จะช่วยแนะนำวิธีตั้งค่า Windows Firewall ให้เหมาะสมที่สุด เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยสูงสุดสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ


ประโยชน์ของ Windows Firewall  

1. ป้องกันการเข้าถึงจากบุคคลภายนอก  
  • ช่วยบล็อกการเชื่อมต่อที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือเป็นอันตรายจากอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายภายใน  

2. ควบคุมแอปพลิเคชัน  
  • สามารถกำหนดได้ว่าแอปพลิเคชันใดมีสิทธิ์เชื่อมต่อกับเครือข่าย  

3. ป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสและมัลแวร์  
  • ช่วยลดความเสี่ยงที่ไวรัสหรือมัลแวร์จะเข้าถึงเครือข่ายและอุปกรณ์อื่นๆ  

4. ปรับแต่งกฎการใช้งานเครือข่าย  
  • สามารถตั้งค่ากฎเฉพาะสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายได้ เช่น การอนุญาตหรือบล็อกพอร์ต  


วิธีการตั้งค่า Windows Firewall ให้ปลอดภัยที่สุด  

Windows Firewall

1. เปิดใช้งาน Windows Firewall  
  • ไปที่ Settings > Update & Security > Windows Security > Firewall & network protection  
  • เลือกเปิด Firewall สำหรับทั้ง Public และ Private networks  

2. กำหนดค่าแอปพลิเคชันที่อนุญาต  
  • ไปที่ Allow an app through Firewall  
  • เลือกเฉพาะแอปพลิเคชันที่จำเป็นเท่านั้น  

3. บล็อกการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น  
  • ไปที่ Advanced settings  
  • เลือก Inbound Rules และ Outbound Rules เพื่อสร้างกฎที่บล็อกการเชื่อมต่อพอร์ตหรือแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องการ  

4. เปิดใช้งานการแจ้งเตือน  
  • ในหน้าต่าง Firewall & network protection ให้เปิดการแจ้งเตือนเมื่อมีแอปพลิเคชันที่ต้องการการอนุญาต  

5. อัปเดตกฎและตรวจสอบการตั้งค่าอย่างสม่ำเสมอ  
  • ตรวจสอบว่า Windows Firewall ยังคงเปิดใช้งานอยู่  
  • อัปเดตซอฟต์แวร์ Windows และแอปพลิเคชันเพื่อความปลอดภัยสูงสุด  

6. ใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส  
  • Windows Firewall ควรทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส เช่น Windows Defender หรือโปรแกรมอื่น เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่หลากหลาย  

บทสรุป การตั้งค่า Windows Firewall อย่างถูกต้องช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบของคุณ แต่ควรใช้งานร่วมกับการปฏิบัติที่ดี เช่น การหลีกเลี่ยงเว็บไซต์หรือไฟล์ที่น่าสงสัย และการตั้งค่ารหัสผ่านที่ปลอดภัยสำหรับเครือข่ายของคุณด้วย

Zero-Day คืออะไร

Zero-Day
Zero-day Microsoft Office หมายถึงช่องโหว่หรือข้อบกพร่องในโปรแกรม Microsoft Office ที่ถูกค้นพบและถูกนำมาใช้ประโยชน์โดยผู้ไม่ประสงค์ดี ก่อนที่นักพัฒนาจะทราบหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ช่องโหว่นี้จึงเรียกว่า “Zero-day” เพราะยังไม่มีการออกแพตช์หรือการป้องกันในทันที ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เพื่อโจมตีระบบ เช่น การแฝงมัลแวร์หรือขโมยข้อมูล

ความสำคัญ: Zero-day ใน Microsoft Office เป็นปัญหาที่ร้ายแรงเนื่องจาก Microsoft Office เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งในองค์กรและบุคคลทั่วไป ซึ่งหากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีอาจเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญและควบคุมระบบได้ ทำให้เกิดความเสียหายทางการเงิน ข้อมูลรั่วไหล หรือการหยุดชะงักของการทำงาน


แนวทางแก้ไข Zero-day 

1. อัปเดตและติดตั้งแพตช์ความปลอดภัย
  • อัปเดตโปรแกรม Microsoft Office: สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกัน Zero-day คือการอัปเดต Office ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ โดย Microsoft จะปล่อยแพตช์ (patch) แก้ไขช่องโหว่ที่ค้นพบมาอย่างต่อเนื่อง การตั้งค่าให้โปรแกรมอัปเดตอัตโนมัติจะช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตี
  • อัปเดตระบบปฏิบัติการ: ระบบ Windows ก็ควรอัปเดตอยู่เสมอ เนื่องจากช่องโหว่บางส่วนอาจเชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการ

2. ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและใช้ Advanced Threat Protection (ATP)
  • ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีชื่อเสียง: การใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่สามารถตรวจจับมัลแวร์และพฤติกรรมที่ผิดปกติในเอกสารหรือไฟล์แนบ Microsoft Office เป็นวิธีการป้องกันเพิ่มเติม โปรแกรมบางตัวมีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบและหยุดยั้ง Zero-day ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Microsoft Defender for Office 365: สามารถใช้เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Phishing และการแนบไฟล์ที่เป็นอันตรายผ่านทางอีเมล และ ATP จะช่วยตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติได้

3. กำหนดการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติมใน Microsoft Office
  • ปิดการใช้งานมาโคร (Macros): การเปิดใช้งานมาโครโดยไม่ได้ตั้งใจอาจเป็นช่องทางให้มัลแวร์ถูกเรียกใช้งาน การปิดการใช้งานมาโครหรือเลือกให้ Office เปิดเอกสารในโหมด Protected View ก่อน จะช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตี Zero-day
  • Protected View: ฟังก์ชันนี้ช่วยป้องกันการเรียกใช้เอกสารที่ไม่รู้จักโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดใช้งานเอกสารที่ต้องการหลังจากตรวจสอบความปลอดภัยแล้ว

4. การฝึกอบรมและสร้างความตระหนัก
  • ให้ความรู้แก่ผู้ใช้งาน: การสร้างความตระหนักเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์และการระมัดระวังในการเปิดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จักหรืออีเมลที่ดูน่าสงสัย เช่น ไฟล์ที่แนบมาพร้อมอีเมลแปลกๆ สามารถลดความเสี่ยงจากการโจมตีได้
  • ตรวจสอบลิงก์และไฟล์แนบ: หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ที่แนบมาในอีเมลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบลิงก์โดยการโฮเวอร์ (hover) ก่อนคลิกเพื่อตรวจสอบ URL

5. ใช้โซลูชันการตรวจสอบเครือข่ายและภัยคุกคาม
  • Network Monitoring: การตรวจสอบเครือข่ายด้วยเครื่องมือที่สามารถตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติหรือกิจกรรมที่น่าสงสัยในเครือข่าย เช่น การพยายามเข้าถึงไฟล์จากโปรแกรมที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน
  • Endpoint Detection and Response (EDR): ระบบ EDR ช่วยตรวจจับและตอบสนองต่อการโจมตีจากช่องโหว่ Zero-day ในระดับเครื่องปลายทางโดยการวิเคราะห์พฤติกรรมและการคาดการณ์ความเสี่ยง

6. ใช้ Sandboxing Technology
  • การใช้เทคโนโลยี Sandboxing: ช่วยให้สามารถทดสอบและเปิดไฟล์ในสภาพแวดล้อมที่แยกจากระบบหลัก เพื่อป้องกันมัลแวร์แพร่กระจายเข้าถึงระบบปฏิบัติการหลัก หากพบว่าไฟล์มีการทำงานที่น่าสงสัยก็สามารถลบทิ้งได้ทันที

7. การสำรองข้อมูล
  • สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากถูกโจมตี การสำรองข้อมูลเป็นวิธีการป้องกันและกู้คืนระบบในกรณีที่มีการโจมตีเกิดขึ้นแล้ว การสำรองข้อมูล ควรทำมากกว่า 1 ชุด

บทสรุป Zero-day Microsoft Office เป็นช่องโหว่ที่ถูกค้นพบและถูกใช้โจมตีก่อนที่ผู้พัฒนาจะทราบหรือออกแพตช์แก้ไข การโจมตีประเภทนี้อาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้ เช่น การขโมยข้อมูลหรือแฝงมัลแวร์ วิธีป้องกันที่สำคัญคือการอัปเดตโปรแกรม Microsoft Office และระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด การใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพ การปิดการใช้งานมาโครในเอกสาร และหลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบหรือคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

รวมปัญหาและการแก้ไขคอมพิวเตอร์

ปัญหาคอมพิวเตอร์ที่พบบ่อยสุด

Robot fix computer

คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะใช้ในการทำงาน การเรียน หรือการพักผ่อน อย่างไรก็ตาม ปัญหาคอมพิวเตอร์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งสามารถทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดได้ โชคดีที่หลายปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ขั้นตอนการสอนคอมพิวเตอร์ มือใหม่


Computer Parts
อยากสอน อยากเรียนรู้คอมพิวเตอร์ ต้องทำอย่างไร  

การเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์สำหรับมือใหม่ เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัลในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือสำหรับการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น การค้นหาข้อมูลออนไลน์ การสื่อสารผ่านอีเมล หรือแม้กระทั่งการเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัลต่างๆ 

การเรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้ผู้เริ่มต้น สามารถเข้าใจและใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ ทั้งในเรื่องของการใช้งานเมาส์และคีย์บอร์ด การจัดการไฟล์ การใช้งานโปรแกรมพื้นฐาน รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การเรียนรู้ในขั้นตอนเหล่านี้ จะสร้างพื้นฐานที่ดีในการพัฒนาทักษะคอมพิวเตอร์ในระดับที่สูงขึ้น และนำไปสู่การใช้งานในด้านต่างๆ อย่างคล่องแคล่วในอนาคต


10 ขั้นตอนสอนคอมพิวเตอร์สำหรับมือใหม่

1. การทำความรู้จักคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบหลักของคอมพิวเตอร์:  
  • หน้าจอ (Monitor): ใช้แสดงผลข้อมูลที่เราเห็น เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ  
  • คีย์บอร์ด (Keyboard): ใช้ในการพิมพ์ข้อความและคำสั่งต่างๆ โดยมีปุ่มตัวอักษร ตัวเลข และปุ่มพิเศษ  
  • เมาส์ (Mouse): ใช้ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนหน้าจอ และคลิกเพื่อเลือกหรือเปิดโปรแกรม  
  • ซีพียู (CPU): คือหน่วยประมวลผลกลาง หรือสมองของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานประมวลผลข้อมูลทั้งหมด  
  • อุปกรณ์เสริม: เช่น พรินเตอร์ (Printer) สำหรับพิมพ์เอกสาร ลำโพง (Speakers) สำหรับเสียง และไมโครโฟน (Microphone) สำหรับบันทึกเสียง  
กิจกรรม:  ให้ผู้เรียนฝึกใช้เมาส์ในการคลิกซ้าย คลิกขวา และใช้คีย์บอร์ดพิมพ์ข้อความง่ายๆ เช่น "สวัสดีครับ"  


2. การเปิด-ปิดคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี
 
การเปิดคอมพิวเตอร์:  
  • กดปุ่ม Power บนตัวเครื่องหรือบนหน้าจอ (ในบางรุ่น) เพื่อเปิดเครื่อง  
  • ระบบจะเริ่มทำการโหลดและเปิดใช้งานระบบปฏิบัติการ (Windows หรือ MacOS)  
การปิดคอมพิวเตอร์
  • กดปุ่ม Start (Windows) หรือ Apple menu (MacOS) แล้วเลือก Shutdown หรือ Restart  
  • แนะนำให้ผู้เรียนปิดคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียหายของไฟล์หรือระบบปฏิบัติการ  

กิจกรรม:  ให้ผู้เรียนลองเปิด-ปิดคอมพิวเตอร์เอง พร้อมอธิบายแต่ละขั้นตอน  


3. การใช้งานเมาส์และคีย์บอร์ด

การใช้เมาส์:  
  • คลิกซ้าย (Left Click): ใช้สำหรับการเลือกหรือลงมือทำสิ่งต่างๆ เช่น การเปิดโปรแกรม  
  • คลิกขวา (Right Click): แสดงเมนูตัวเลือกเพิ่มเติม เช่น คัดลอก, วาง, หรือเปิดเมนูคำสั่งเพิ่มเติม  
  • ดับเบิ้ลคลิก (Double Click): ใช้สำหรับเปิดไฟล์หรือโปรแกรม  
  • ลากเมาส์ (Drag): ใช้เพื่อย้ายหรือเลือกข้อความ  
การใช้คีย์บอร์ด:  
  • เริ่มต้นที่การพิมพ์ตัวอักษรและตัวเลข  
  • คำสั่งพื้นฐาน เช่น Ctrl+C (คัดลอก), Ctrl+V (วาง), Ctrl+Z (ย้อนกลับ)  

กิจกรรม:  
ให้ผู้เรียนฝึกการใช้เมาส์และคีย์บอร์ดในโปรแกรมง่ายๆ เช่น โปรแกรม Notepad หรือ Paint  


4. การทำความเข้าใจกับระบบปฏิบัติการ (OS)

การทำงานของระบบปฏิบัติการ:  ระบบปฏิบัติการ (OS) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้เราสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ เช่น Windows (ของ Microsoft) หรือ MacOS (ของ Apple)  
  • Desktop: เป็นหน้าจอหลักที่ปรากฏขึ้นเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ โดยมีไอคอนต่างๆ สำหรับโปรแกรมหรือไฟล์  
  • Taskbar: คือแถบด้านล่างของหน้าจอที่แสดงโปรแกรมที่กำลังเปิดใช้งาน  
  • Start Menu (Windows): ที่นี่จะมีรายการโปรแกรมที่สามารถเลือกใช้งานได้  

กิจกรรม: ให้ผู้เรียนคลิกที่ไอคอนต่างๆ บน Desktop เช่น ไอคอนโปรแกรมเพื่อเปิดใช้งาน  


5. การใช้งานโปรแกรมเบื้องต้น

Microsoft Word:  
  • โปรแกรมสำหรับการพิมพ์เอกสาร เช่น การพิมพ์จดหมาย หรือรายงาน  
  • เริ่มต้นจากการสร้างเอกสารใหม่ พิมพ์ข้อความ และบันทึกไฟล์  
Microsoft Excel:  
  • โปรแกรมสำหรับการทำงานกับข้อมูลเชิงตัวเลข เช่น การคำนวณหรือทำตาราง  
  • สอนการป้อนข้อมูลในเซลล์ การใช้สูตรพื้นฐาน เช่น SUM  
Microsoft PowerPoint:  
  • โปรแกรมสำหรับการสร้างสไลด์พรีเซนเทชัน  
  • การเลือกธีม การใส่ข้อความ และรูปภาพ  

กิจกรรม:  ให้ผู้เรียนลองสร้างเอกสารใหม่ใน Microsoft Word และบันทึกไฟล์  


6. การใช้งานอินเทอร์เน็ตและอีเมล
 
การใช้งานอินเทอร์เน็ต:  
  • เปิดเบราว์เซอร์ (เช่น Google Chrome หรือ Microsoft Edge) เพื่อค้นหาข้อมูล  
  • การพิมพ์คำค้นหาบน Google และการคลิกเพื่อเข้าเว็บไซต์  
การใช้งานอีเมล:  
  • สร้างบัญชีอีเมลใน Gmail หรือ Outlook  
  • การเขียนอีเมล ส่งและรับอีเมล  
กิจกรรม: ให้ผู้เรียนส่งอีเมลถึงผู้สอนหรือเพื่อนในกลุ่ม  


7. การจัดการไฟล์และโฟลเดอร์

การสร้างและจัดการไฟล์:  
  • การสร้างโฟลเดอร์ใหม่ (Right Click > New > Folder)  
  • การย้ายหรือคัดลอกไฟล์ระหว่างโฟลเดอร์ต่างๆ  
  • การลบไฟล์หรือโฟลเดอร์  

กิจกรรม: ให้ผู้เรียนสร้างโฟลเดอร์ใหม่แล้วจัดระเบียบไฟล์ภายใน  


8. การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์

การอัปเดตระบบปฏิบัติการ:  
  • แนะนำให้ตรวจสอบและอัปเดต Windows หรือ MacOS เพื่อเพิ่มความปลอดภัย  
การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส:  
  • การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและการสแกนคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันไวรัส  
การทำความสะอาดอุปกรณ์ภายนอก:  
  • ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ทำความสะอาดหน้าจอ คีย์บอร์ด และเมาส์  
กิจกรรม:  สาธิตการอัปเดตระบบปฏิบัติการและการสแกนไวรัส  


9. การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

ปัญหาที่พบบ่อย:  
  • คอมพิวเตอร์ไม่ตอบสนอง: ให้ลองกด Ctrl+Alt+Delete เพื่อเปิด Task Manager และปิดโปรแกรมที่ไม่ตอบสนอง  
  • อินเทอร์เน็ตไม่ได้: ให้ตรวจสอบการเชื่อมต่อ Wi-Fi และรีสตาร์ทเราเตอร์  
วิธีการรีสตาร์ทเครื่อง:  
  • รีสตาร์ทเครื่องเพื่อแก้ไขปัญหาหรือเคลียร์ข้อผิดพลาด  
กิจกรรม:  ให้ผู้เรียนลองแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์ไม่ตอบสนอง  


10. การเรียนรู้เพิ่มเติมและฝึกฝน
 
แหล่งเรียนรู้ออนไลน์:  
  • แนะนำเว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ เช่น YouTube, Coursera, หรือ Udemy สำหรับการเรียนรู้คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม  
การฝึกฝน:  
  • ส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกใช้งานคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน เช่น การเขียนอีเมล การค้นหาข้อมูลออนไลน์ หรือการใช้โปรแกรมพรีเซนเทชัน  
กิจกรรม:  ให้ผู้เรียนลองค้นหาหัวข้อที่สนใจและศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ออนไลน์  


บทสรุป ด้วยการสอนตามขั้นตอนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ผู้เรียน หรือ ผู้สอน จะสามารถใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้นได้อย่างมั่นใจ และพร้อมที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมได้ในอนาคต

ภัยไซเบอร์คืออะไร

Cyber World

ภัยไซเบอร์ (Cyber Threats) หมายถึง การโจมตีหรือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประสงค์ร้ายต่อระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือข้อมูล เพื่อเข้าถึง ขโมย หรือทำลายข้อมูล หรือทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ 

10 วิธีปรับแต่งคอมพิวเตอร์ให้เร็วขึ้น

ตรวจสอบสุขภาพคอมพิวเตอร์

Fix a computer laptop

การทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้งานที่ราบรื่นและไม่มีปัญหา แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่ามีวิธีการหลายอย่างที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน การดูแลรักษาและปรับแต่งระบบของคอมพิวเตอร์สามารถช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพได้อย่างมาก 

แบบทดสอบ Microsoft Windows

Microsoft Windows Quiz
Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความสำคัญและได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายทั้งในด้านการทำงานและการเรียน ด้วยความสามารถที่หลากหลายและฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย Windows ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการไฟล์ การเรียกใช้งานโปรแกรม หรือการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต 

การใช้คำสั่งลัดและฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Task Manager, BitLocker และ Snap Assist ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน ลดความยุ่งยาก และเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้ใช้งาน Windows Defender ยังเป็นระบบป้องกันไวรัสในตัวที่ช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากภัยคุกคามต่างๆ การล็อกหน้าจอและการจัดการระบบก็สามารถทำได้ง่ายด้วยคำสั่งลัด เหล่านี้ทำให้ Windows เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งในด้านความสะดวกและความปลอดภัย

มาทดสอบความรู้และเพิ่มทักษะการใช้งาน Windows ของคุณด้วยแบบทดสอบง่ายๆ 10 ข้อ! ฝึกใช้คำสั่งลัด ฟีเจอร์ต่างๆ และวิธีจัดการระบบแบบมือโปร พร้อมเฉลยทันที ลองทำดูแล้วจะรู้ว่าคุณเก่งแค่ไหน!


นี่คือ 10 ข้อแบบทดสอบการใช้ Windows พร้อมเฉลยคำตอบในตอนท้าย:


10 ข้อ แบบทดสอบการใช้ Microsoft Windows

1. คำสั่งลัดใดที่ใช้เปิดหน้าต่าง Task Manager อย่างรวดเร็ว?

   A. Ctrl + Alt + Delete  

   B. Ctrl + Shift + Esc  

   C. Ctrl + Esc  

   D. Alt + F4  


2. การกดปุ่ม Windows + D มีผลอย่างไร?

   A. ปิดโปรแกรมทั้งหมด  

   B. แสดงหน้าจอ Desktop  

   C. ล็อกเครื่อง  

   D. เปิดหน้าต่าง File Explorer  


3. ฟีเจอร์ใดใน Windows 10 ที่ช่วยให้เราสามารถแบ่งหน้าจอเป็นหลายส่วนได้ง่ายๆ?

   A. Snap Assist  

   B. Task View  

   C. Virtual Desktops  

   D. Cortana  


4. คำสั่งใดที่ใช้เพื่อดูไฟล์และโฟลเดอร์ที่ซ่อนอยู่ใน Windows?

   A. Windows + E  

   B. Ctrl + H  

   C. Windows + R  

   D. Alt + Enter  


5. ฟังก์ชัน BitLocker ใช้สำหรับทำอะไรใน Windows?

   A. การเข้ารหัสข้อมูลบนฮาร์ดไดรฟ์  

   B. การล้างไฟล์ขยะ  

   C. การติดตั้งโปรแกรมใหม่  

   D. การอัปเดตระบบปฏิบัติการ  


6. คำสั่ง msconfig ใช้สำหรับทำอะไร?

   A. ปรับแต่งการเริ่มต้นของ Windows  

   B. เปิดตัวจัดการงาน  

   C. ตั้งค่าภาษา  

   D. จัดการการแสดงผล  


7. การกดปุ่ม Windows + L มีผลอย่างไร?

   A. เปิดเมนู Start  

   B. ล็อกหน้าจอ  

   C. ปิดเครื่อง  

   D. รีสตาร์ทเครื่อง  


8. File Explorer ใน Windows เปิดโดยใช้คำสั่งลัดใด?

   A. Ctrl + E  

   B. Windows + E  

   C. Alt + E  

   D. Shift + E  


9. ฟังก์ชัน Windows Defender ทำหน้าที่อะไร?

   A. สำรองข้อมูล  

   B. จัดการแอปพลิเคชัน  

   C. ป้องกันไวรัสและมัลแวร์  

   D. จัดการเครือข่าย  


10. คำสั่งใดที่ใช้เปิด Run dialog box?

    A. Ctrl + R  

    B. Shift + R  

    C. Alt + R  

    D. Windows + R  


  เฉลยคำตอบ:


1. B. Ctrl + Shift + Esc  

2. B. แสดงหน้าจอ Desktop  

3. A. Snap Assist  

4. B. Ctrl + H  

5. A. การเข้ารหัสข้อมูลบนฮาร์ดไดรฟ์  

6. A. ปรับแต่งการเริ่มต้นของ Windows  

7. B. ล็อกหน้าจอ  

8. B. Windows + E  

9. C. ป้องกันไวรัสและมัลแวร์  

10. D. Windows + R