The Most/Recent Articles

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Google Docs แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Google Docs แสดงบทความทั้งหมด

20 ฟีเจอร์ลับใน Google Slides

Google Slides
ความลับที่ไม่ลับของการทำพรีเซ็นเทชั่นด้วย Slides  

การเรียนรู้ฟีเจอร์ลับใน Google Slides นับว่าเป็นการเสริมทักษะที่มีประโยชน์อย่างมากในการสร้างสรรค์งานนำเสนอที่มีความหลากหลายและน่าสนใจ การใช้เครื่องมือต่างๆ ใน Google Slides นอกจากจะช่วยให้การสร้างสไลด์ง่ายและรวดเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มความประทับใจให้กับผู้ชมอีกด้วย โดยฟีเจอร์บางตัวอาจไม่เป็นที่รู้จักหรือถูกใช้งานกันบ่อย แต่เมื่อได้เรียนรู้และนำมาใช้จะช่วยเพิ่มมูลค่าในการนำเสนอ 

ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสื่อมัลติมีเดีย เช่น เสียงหรือภาพเคลื่อนไหว การปรับแต่งตัวหนังสือ หรือแม้แต่การใช้ฟีเจอร์การสร้างกราฟที่ช่วยให้ข้อมูลในงานนำเสนอเข้าใจง่ายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น การเรียนรู้วิธีใช้ฟีเจอร์เหล่านี้จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและช่วยให้การนำเสนอมีความโดดเด่นกว่าที่เคย


Google Slides มีฟีเจอร์หลายตัวที่สามารถช่วยให้การนำเสนองานของคุณมีความน่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งบางฟีเจอร์อาจจะไม่เป็นที่รู้จักหรือถูกใช้กันบ่อยนัก ดังนั้น นี่คือ 


ฟีเจอร์น่าใช้ใน Google Slides

1. การแทรกรูปแบบการเปลี่ยนภาพอัตโนมัติ (Auto Layouts)
  • วิธีทำ: เลือกสไลด์ที่ต้องการ แล้วคลิกที่ "Layout" ในแถบเครื่องมือเพื่อเลือกการจัดรูปแบบใหม่ให้อัตโนมัติ เช่น การเพิ่มรูปภาพหรือข้อความ.

 2. การใส่เสียงในสไลด์
  • วิธีทำ: คลิกที่ Insert > Audio แล้วเลือกไฟล์เสียงจาก Google Drive เพื่อเพิ่มลงในสไลด์.

 3. การเพิ่มการเปลี่ยนสไลด์แบบไม่ใช่การเคลื่อนไหว
  • วิธีทำ: คลิกที่ Slide > Transition และเลือก None เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวระหว่างสไลด์.

 4. การใช้คำบรรยายอัตโนมัติ
  • วิธีทำ: คลิกที่ Tools > Voice typing แล้วพูดและคำบรรยายจะปรากฏในสไลด์.

 5. การซ่อนสไลด์
  • วิธีทำ: คลิกขวาที่สไลด์ที่ต้องการซ่อนและเลือก Skip slide ซึ่งจะไม่แสดงในขณะนำเสนอ.

 6. การใช้ตัวอักษรโค้ด (Code Formatting)
  • วิธีทำ: ใช้การเพิ่มข้อความที่มีรูปแบบการแสดงผลคล้ายโค้ดโดยการใช้ Insert > Text box และปรับรูปแบบเป็นฟอนต์ที่เหมาะสม เช่น Courier New.

 7. การแทรกรูปภาพจาก URL
  • วิธีทำ: คลิกที่ Insert > Image > By URL แล้ววาง URL ของรูปภาพที่ต้องการ.

 8. การซ่อนบรรทัดหรือช่องข้อความ
  •    - วิธีทำ: คลิกขวาที่กล่องข้อความหรือองค์ประกอบที่ต้องการซ่อนและเลือก Cut (เพื่อเก็บไว้ในคลิปบอร์ด) หรือ Delete.

 9. การใช้ Custom Animation
  • วิธีทำ: ไปที่ Slide > Transition แล้วคลิกที่ "Object Animations" เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวพิเศษที่สามารถปรับแต่งได้.

 10. การสร้างกราฟในสไลด์
  • วิธีทำ: คลิกที่ Insert > Chart แล้วเลือกประเภทกราฟที่ต้องการ เช่น Bar, Line, หรือ Pie.

 11. การตั้งค่ารูปแบบการแสดงผลของตัวหนังสือ
  • วิธีทำ: ใช้เครื่องมือ Text box เพื่อปรับขนาด, สี, และฟอนต์ตัวหนังสือให้มีสไตล์เฉพาะ.

 12. การเพิ่มลิงก์ภายในสไลด์
  • วิธีทำ: เลือกข้อความหรือวัตถุที่ต้องการแล้วคลิกขวาเพื่อเลือก Link แล้วใส่ลิงก์ URL หรือสไลด์ที่ต้องการ.

 13. การสร้างสไลด์แบบย่อ (Zoom)
  • วิธีทำ: ใช้เครื่องมือ Zoom เพื่อซูมเข้าไปในส่วนต่างๆ ของสไลด์สำหรับการนำเสนอที่มีรายละเอียดมาก.

 14. การสร้างสไลด์จากสไตล์ที่มีอยู่
  • วิธีทำ: ใช้ Master slide ในการออกแบบเทมเพลตที่ใช้ได้กับหลายสไลด์พร้อมกัน.

 15. การนำเสนอสไลด์ในแบบ Live
  • วิธีทำ: คลิกที่ Present แล้วเลือก Present to the web เพื่อแชร์การนำเสนอแบบออนไลน์ให้คนอื่นสามารถดูแบบสดๆ ได้.

 16. การตั้งเวลาให้สไลด์เปลี่ยนเอง
  • วิธีทำ: ใช้ Slide transition แล้วตั้งเวลาให้สไลด์เปลี่ยนอัตโนมัติหลังจากระยะเวลาเฉพาะ.

 17. การใช้เครื่องมือ Trace Text (เขียนข้อความที่ซ้อนกัน)
  • วิธีทำ: ใช้ Line tool แล้วเลือกเป็นข้อความที่ต้องการให้แสดงเป็นเส้นรอบตัว.

 18. การเพิ่มตัวเลขหน้า
  • วิธีทำ: ไปที่ Insert > Slide numbers แล้วเลือกตำแหน่งที่จะให้ตัวเลขหน้าปรากฏ.

 19. การใช้สีพื้นหลังแบบ Gradient
  • วิธีทำ: คลิกขวาที่สไลด์แล้วเลือก Background จากนั้นเลือก Gradient เพื่อเพิ่มพื้นหลังแบบไล่สี.

 20. การใช้แม่แบบจาก Google Slides Template Gallery
  • วิธีทำ: เปิด Google Slides แล้วเลือก Template gallery เพื่อเลือกแม่แบบที่มีการออกแบบไว้ล่วงหน้าสำหรับการเริ่มต้นงานได้อย่างรวดเร็ว.

บทสรุป การเรียนรู้ฟีเจอร์ลับใน Google Slides ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสร้างสรรค์ให้กับงานนำเสนอ ด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้สามารถเพิ่มความหลากหลายทั้งในด้านภาพ เสียง และกราฟิก ทำให้งานนำเสนอของคุณดูมืออาชีพและดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

20 ฟีเจอร์ลับใน Google Sheets

Google Sheets
สุดยอดเครื่องมือในการคำนวณตัวเลขในลักษณะตาราง จาก Google  

Google Sheets เป็นเครื่องมือสเปรดชีตยอดนิยมที่ให้บริการฟรีและทำงานบนคลาวด์ โดยเน้นการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ มีความยืดหยุ่นและความสามารถที่หลากหลาย ทำให้เหมาะสำหรับทั้งงานส่วนตัวและธุรกิจ ฟีเจอร์ต่างๆ ใน Google Sheets ไม่เพียงช่วยจัดการข้อมูลได้อย่างง่ายดาย แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การสร้างกราฟอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง และการใช้สูตรเพื่อประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก  

นอกจากฟีเจอร์ทั่วไป ยังมีฟีเจอร์ลับที่หลายคนมองข้าม เช่น การลบข้อมูลซ้ำอัตโนมัติ การสร้างแผนที่ความร้อน และการใช้ฟังก์ชันแปลภาษาในตัว ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยลดเวลาทำงานและเพิ่มความสะดวกในการจัดการข้อมูล หากคุณใช้งาน Google Sheets อยู่แล้ว การเรียนรู้ฟีเจอร์เหล่านี้จะช่วยยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


ฟีเจอร์น่าใช้ใน Google Sheets    

Google Sheets มีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หลายฟีเจอร์ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแต่สามารถช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น!  

1. Split Text into Columns (แยกข้อความในเซลล์ออกเป็นหลายคอลัมน์)  
  • วิธีทำ: เลือกคอลัมน์ > คลิก Data > Split text to columns > เลือกตัวแบ่ง (Comma, Space ฯลฯ)  

 2. Explore (แนะนำการวิเคราะห์อัตโนมัติ)  
  • วิธีทำ: คลิกปุ่ม Explore ที่มุมขวาล่าง > ดูกราฟหรือสูตรที่ระบบแนะนำ  

 3. Conditional Formatting (ไฮไลต์ตามเงื่อนไข)  
  • วิธีทำ: เลือกเซลล์ > คลิก Format > Conditional Formatting > ตั้งเงื่อนไขและสี  

 4. Remove Duplicates (ลบค่าซ้ำ)  
  • วิธีทำ: เลือกช่วงข้อมูล > คลิก Data > Data cleanup > Remove duplicates  

 5. Filter Views (สร้างมุมมองกรองข้อมูล)  
  • วิธีทำ: คลิก Data > Filter views > สร้างมุมมองสำหรับการกรองข้อมูลเฉพาะ  

 6. Pivot Tables (สร้างตาราง Pivot)  
  • วิธีทำ: เลือกข้อมูล > คลิก Insert > Pivot Table > ตั้งค่าตาราง  

 7. ARRAYFORMULA (สูตรคำนวณหลายแถวพร้อมกัน)  
  • วิธีทำ: ใช้สูตร `=ARRAYFORMULA(สูตรที่ต้องการคำนวณ)`  

 8. Import Data from Another Sheet (นำเข้าข้อมูลจากชีตอื่น)  
  • วิธีทำ: ใช้สูตร `=IMPORTRANGE("URL ของชีต","ช่วงข้อมูล")`  

 9. Protect Range (ป้องกันข้อมูลในช่วง)  
  • วิธีทำ: คลิกขวาที่ช่วง > Protect range > ตั้งสิทธิ์การเข้าถึง  

 10. GOOGLETRANSLATE (แปลภาษาในเซลล์)  
  • วิธีทำ: ใช้สูตร `=GOOGLETRANSLATE(A1, "en", "th")`  

 11. Autocomplete with Smart Fill (เติมข้อมูลอัตโนมัติ)  
  • วิธีทำ: ใส่ตัวอย่างข้อมูลในคอลัมน์ > คลิก Ctrl+E (หรือ Cmd+E บน Mac)  

 12. Random Number Generator (สร้างตัวเลขสุ่ม)  
  • วิธีทำ: ใช้สูตร `=RANDBETWEEN(ตัวเลขต่ำสุด, ตัวเลขสูงสุด)`  

 13. Slicer (ตัวกรองขั้นสูง)  
  • วิธีทำ: เลือกข้อมูล > คลิก Insert > Slicer > ตั้งค่าตัวกรอง  

 14. Text Rotation (หมุนข้อความในเซลล์)  
  • วิธีทำ: เลือกเซลล์ > คลิก Format > Text rotation > เลือกมุมการหมุน  

 15. Custom Functions with Apps Script (สร้างฟังก์ชันเอง)  
  • วิธีทำ: ไปที่ Extensions > Apps Script > เขียนโค้ดฟังก์ชัน  

 16. Heatmap with Conditional Formatting (แผนที่ความร้อน)  
  • วิธีทำ: ใช้ Conditional Formatting เลือกไล่สีตามค่าตัวเลข  

 17. Goal Seek (หาค่าที่เหมาะสม)  
  • วิธีทำ: ใช้ Add-on "Goal Seek" ใน Google Workspace Marketplace  

 18. Insert Checkbox (เพิ่มช่องทำเครื่องหมาย)  
  • วิธีทำ: เลือกเซลล์ > คลิก Insert > Checkbox  

 19. Hyperlinking to Other Sheets (สร้างลิงก์ไปชีตอื่น)  
  • วิธีทำ: ใช้สูตร `=HYPERLINK("#ชื่อชีต!A1", "ข้อความลิงก์")`  

 20. Create Dropdown Menus (สร้างเมนูแบบเลื่อนลง)  
  • วิธีทำ: เลือกเซลล์ > คลิก Data > Data validation > เลือก List of items  

  
บทสรุป Google Sheets เป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลที่โดดเด่นด้วยความสามารถหลากหลาย ฟีเจอร์ลับ เช่น การแปลภาษา การสร้างกราฟ และการลบข้อมูลซ้ำ ช่วยเพิ่มความสะดวกและลดเวลาในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลหรือการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลได้ง่ายขึ้นและแม่นยำมากขึ้น การเรียนรู้และใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้ Google Sheets เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับทั้งงานส่วนตัวและธุรกิจ

20 ฟีเจอร์ลับใน Google Docs

Google Docs
Google Docs: เครื่องมือที่ทรงพลังเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ  

Google Docs เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในยุคดิจิทัล ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลายและใช้งานง่าย เช่น การแก้ไขเอกสารแบบเรียลไทม์ การพิมพ์ด้วยเสียง และการแปลภาษา ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานเดี่ยวหรืองานที่ต้องการความร่วมมือ 

นอกจากนี้ Google Docs ยังมีฟีเจอร์ลับมากมาย เช่น การแทรกลิงก์อัตโนมัติ การจัดรูปแบบเอกสาร การตั้งลายน้ำ หรือการสร้างสารบัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและลดความซับซ้อนในการทำงานอย่างมาก 

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการจัดการไฟล์แบบคลาวด์ยังช่วยให้เอกสารของคุณปลอดภัยและเข้าถึงได้จากอุปกรณ์ทุกชนิด Google Docs จึงเหมาะสำหรับทั้งนักเรียน นักธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องการเพิ่มความสะดวกสบายและความเชี่ยวชาญในการทำเอกสาร



คำสั่งน่าใช้ใน Google Docs  

1. ค้นหาคำและแทรกลิงก์ (Explore Tool)  

ฟีเจอร์นี้ช่วยค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือเนื้อหาใน Google Drive โดยไม่ต้องออกจากเอกสาร  
  • คลิกไอคอน Explore (รูปดาว) มุมล่างขวา หรือไปที่ Tools > Explore  
  • พิมพ์คำค้นหา เช่น "AI" หรือ "การบริหารเวลา"  
  • Google Docs จะแสดงลิงก์ ข้อมูล หรือรูปภาพที่เกี่ยวข้อง  
  • คลิก "Insert link" เพื่อแทรกลิงก์ลงในข้อความ  

2. ตั้งค่าข้อความอัตโนมัติ (Substitutions)  

ฟีเจอร์นี้ช่วยเปลี่ยนคำหรือข้อความโดยอัตโนมัติ เช่น พิมพ์ “thx” ระบบจะแปลงเป็น “Thank you”  
  • ไปที่ Tools > Preferences  
  • เลือกแท็บ Substitutions  
  • เพิ่มคำในช่อง Replace และข้อความที่ต้องการแทนในช่อง With เช่น  Replace: `brb`  หรือ With: `Be right back`  
  • คลิก OK  

3. โหมดออฟไลน์ (Offline Mode)  

ช่วยให้สามารถเปิดและแก้ไขเอกสารโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต  
  • เปิด Google Docs บนเบราว์เซอร์ Chrome  
  • ไปที่ File > Make available offline  
  • ติดตั้ง Google Docs Offline extension (ถ้าจำเป็น)  
  • เมื่อกลับมาออนไลน์ เอกสารจะซิงค์อัตโนมัติ  

4. ตรวจสอบไวยากรณ์และสไตล์การเขียน (Grammar and Style Check)  

ฟีเจอร์นี้ช่วยตรวจสอบคำสะกด ไวยากรณ์ และคำที่เหมาะสม    
  • ไปที่ Tools > Spelling and grammar > Check grammar suggestions  
  • คลิกคำที่ขีดเส้นใต้เพื่อเลือกการแก้ไข หรือคลิก Ignore ถ้าไม่ต้องการแก้  

5. พิมพ์ด้วยเสียง (Voice Typing)  

ช่วยให้พิมพ์เอกสารโดยพูดแทนการพิมพ์  
  • ไปที่ Tools > Voice Typing  
  • คลิกไอคอนไมโครโฟนและพูด  
  • ระบบจะแปลงคำพูดเป็นข้อความ (รองรับภาษาไทย)  
  • คลิกไมโครโฟนอีกครั้งเพื่อหยุด  

6. การแปลเอกสาร (Translate Document)  

ฟีเจอร์นี้ช่วยแปลเอกสารทั้งไฟล์ไปยังภาษาที่ต้องการ     
  • ไปที่ Tools > Translate document  
  • เลือกภาษาที่ต้องการ เช่น "English" หรือ "Japanese"  
  • ระบบจะสร้างเอกสารใหม่ที่แปลเรียบร้อยแล้ว  

7. ทำเอกสารเป็นแม่แบบ (Template)  

เหมาะสำหรับสร้างเอกสารที่ใช้รูปแบบเดิมซ้ำๆ  
  • ไปที่ Google Docs Template Gallery  
  • คลิก Submit template เพื่ออัปโหลดเอกสาร  
  • เลือกแม่แบบในครั้งถัดไป  

8. เพิ่มสมการคณิตศาสตร์  

เหมาะสำหรับเอกสารที่มีการคำนวณหรือสมการ  
  • ไปที่ Insert > Equation  
  • เลือกสัญลักษณ์ เช่น รูท (√) หรืออินทิเกรต (∫)  
  • ใช้การพิมพ์สัญลักษณ์ เช่น `/` สำหรับเศษส่วน  

9. ตั้งค่าหัวเรื่องและสารบัญอัตโนมัติ  

ช่วยจัดโครงสร้างเอกสารให้ชัดเจน  
  • เลือกข้อความหัวข้อแล้วตั้งค่าเป็น Heading 1, Heading 2 ฯลฯ  
  • ไปที่ Insert > Table of contents  
  • เลือกแบบลิงก์หรือเลขหน้า  

10. ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์  

ช่วยให้ผู้ใช้หลายคนแก้ไขเอกสารพร้อมกัน  
  • คลิก Share  
  • ใส่อีเมลและเลือกสิทธิ์ (แก้ไข, คอมเมนต์ หรือดูอย่างเดียว)  

11. เวอร์ชันเอกสารก่อนหน้า (Version History)  

ช่วยดูประวัติการแก้ไขเอกสารย้อนหลัง  
  • ไปที่ File > Version History > See version history  
  • เลือกเวอร์ชันที่ต้องการดูหรือกู้คืน  

12. ค้นหาและแทนที่คำ (Find and Replace)  

เหมาะสำหรับแก้ไขคำซ้ำๆ ในเอกสารยาว   
  • กด Ctrl + H (Windows) หรือ Command + H (Mac)  
  • ใส่คำที่ต้องการค้นหา และคำที่ต้องการแทน  

13. เพิ่มลายน้ำในเอกสาร (Watermark)  
  • ไปที่ Insert > Watermark  
  • เลือกภาพหรือข้อความสำหรับเป็นลายน้ำ  
  • ปรับความโปร่งใสและตำแหน่ง  

14. เชื่อมต่อ Add-ons เพื่อเพิ่มฟีเจอร์  

ช่วยเพิ่มความสามารถ เช่น การตรวจคำหรือสร้างกราฟ  
  • ไปที่ Extensions > Add-ons > Get add-ons  
  • ติดตั้ง Add-ons ที่ต้องการ เช่น Grammarly  

15. ใส่คอมเมนต์โดยใช้แท็กบุคคล  

เหมาะสำหรับการขอความคิดเห็นหรือมอบหมายงาน  
  • ไฮไลต์ข้อความ > คลิก Add comment  
  • พิมพ์ @ชื่ออีเมล  

16. ใช้ตารางอัจฉริยะ (Smart Table)  

ช่วยจัดระเบียบข้อมูลในเอกสาร   
  • ไปที่ Insert > Table  
  • เลือกตัวเลือก Smart Chips เพื่อใส่ข้อมูล เช่น ลิงก์หรือวันที่  

17. แปลงข้อความเป็น QR Code  
  • ติดตั้ง Add-ons QR Code Generator  
  • ไฮไลต์ข้อความและเลือกสร้าง QR Code  

18. ล็อกไฟล์ด้วยการป้องกัน  

ช่วยให้เอกสารปลอดภัยจากการแก้ไข  
  • แชร์เอกสารแบบ View only  
  • ปิดสิทธิ์ Download, Print, Copy  

19. เครื่องมือวาดภาพ (Drawing Tool)  

ช่วยเพิ่มกราฟิกหรือแผนภาพ  
  • ไปที่ Insert > Drawing > + New  
  • ใช้เครื่องมือวาดและแทรกรูปภาพ  

20. เชื่อมต่อ Google Keep  

ช่วยจัดการโน้ตและข้อมูล  
  • ไปที่ Tools > Keep notepad  
  • ลากข้อความหรือโน้ตจาก Google Keep ไปยังเอกสาร  

บทสรุป Google Docs เป็นเครื่องมือเอกสารออนไลน์ที่โดดเด่นด้วยการใช้งานง่ายและฟีเจอร์หลากหลาย เช่น การแก้ไขแบบเรียลไทม์ การพิมพ์ด้วยเสียง และการแปลเอกสาร ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ความสามารถในการทำงานร่วมกัน รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ช่วยให้เอกสารปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่ายจากทุกอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์พิเศษ เช่น การสร้างสารบัญอัตโนมัติและการจัดรูปแบบที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้งาน

Functions น่าใช้บน Google Sheets

5 Functions

Google Sheets เป็นเครื่องมือที่มีฟังก์ชันหลากหลายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับ Microsoft Excel ฟังก์ชันของ Google Sheets ไม่เพียงแต่มีฟังก์ชันพื้นฐานที่เหมือนกัน แต่ยังรวมถึงฟังก์ชันที่มีความเฉพาะตัวที่ช่วยในการดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ 

สิ่งนี้ ทำให้ Google Sheets เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและทรงพลังในการทำงานกับข้อมูล มาดูกันว่า มีฟังก์ชันอะไร ที่จะช่วยให้การทำงานกับข้อมูลเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

แน่นอนครับ! นี่คือรายละเอียดวิธีการใช้งานฟังก์ชันที่กล่าวถึงใน Google Sheets

1. `GOOGLEFINANCE`

  • วิธีการใช้งาน ใช้เพื่อดึงข้อมูลทางการเงิน เช่น ราคาหุ้น, ข้อมูลตลาด หรือสถิติทางการเงินอื่นๆ
  • ตัวอย่าง `=GOOGLEFINANCE("GOOG", "price")` จะดึงราคาหุ้นของ Google ปัจจุบัน.
  • รายละเอียด ฟังก์ชันนี้สามารถดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหุ้น, สกุลเงิน, และดัชนีตลาดได้. สามารถตั้งค่าเพิ่มเติม เช่น ระยะเวลาหรือช่วงเวลาที่ต้องการข้อมูล.


2. `IMPORTDATA`

  • วิธีการใช้งาน ใช้ดึงข้อมูลจากไฟล์ CSV หรือ TSV ที่มีอยู่บนเว็บ
  • ตัวอย่าง `=IMPORTDATA("https//example.com/data.csv")` จะดึงข้อมูลจากไฟล์ CSV ที่ URL ที่ระบุ
  • รายละเอียด ฟังก์ชันนี้เหมาะสำหรับการนำเข้าข้อมูลที่เป็นตารางจากไฟล์ที่มี URL ที่เข้าถึงได้


3. `IMPORTHTML`

  • วิธีการใช้งาน ใช้ดึงข้อมูลจากเว็บเพจที่มีตารางหรือรายการ
  • ตัวอย่าง `=IMPORTHTML("https//example.com", "table", 1)` จะดึงตารางแรกจากเว็บเพจที่ URL ที่ระบุ
  • รายละเอียด ฟังก์ชันนี้ช่วยให้ดึงข้อมูลที่จัดระเบียบในรูปแบบตารางหรือรายการจากเว็บเพจได้


4. `IMPORTXML`

  •    - วิธีการใช้งาน ใช้ดึงข้อมูลจากไฟล์ XML หรือ HTML ของเว็บเพจ
  •    - ตัวอย่าง `=IMPORTXML("https//example.com", "//h1")` จะดึงข้อมูลจากทุกแท็ก `<h1>` บนเว็บเพจที่ URL ที่ระบุ
  •    - รายละเอียด ฟังก์ชันนี้ช่วยให้ดึงข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงจากโครงสร้าง XML หรือ HTML โดยใช้ XPath queries


5. `GOOGLETRANSLATE`

  • วิธีการใช้งาน ใช้แปลข้อความจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง
  • ตัวอย่าง `=GOOGLETRANSLATE("Hello", "en", "th")` จะแปลคำว่า "Hello" เป็น "สวัสดี" ในภาษาไทย
  • รายละเอียด ฟังก์ชันนี้สามารถใช้แปลข้อความจากภาษาต้นทางที่ระบุไปยังภาษาปลายทางที่ต้องการ, โดยมีการรองรับหลายภาษา


บทสรุป Google Sheets มอบฟังก์ชันที่หลากหลายและสะดวกสบายเพื่อยกระดับการจัดการข้อมูลของคุณ เช่น การดึงข้อมูลทางการเงินจาก `GOOGLEFINANCE`, การนำเข้าข้อมูลจากไฟล์และเว็บเพจด้วย `IMPORTDATA`, `IMPORTHTML`, และ `IMPORTXML`, และการแปลข้อความด้วย `GOOGLETRANSLATE`. 

ฟังก์ชันเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกับผู้อื่น. ลองใช้ฟังก์ชันเหล่านี้ใน Google Sheets เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทำงานได้อย่างมืออาชีพ!

ทำความรู้จัก Google Slides

Google Slides

Google Slides เป็นเครื่องมือสร้างงานนำเสนอออนไลน์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Google Workspace ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สร้าง แก้ไข และแชร์งานนำเสนอ ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ถ้าจะเปรียบเทียบกับโปรแแกรมของค่าย Microsoft นั่นก็คือ PowerPoint นั่นเอง

Google Slides สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้กับผู้อื่น ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการทำงานเป็นทีมและการสร้างสรรค์งานนำเสนอที่ต้องการความร่วมมือ

Google Slides

Google Slides มีความคล้ายคลึงกับ Microsoft PowerPoint ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างงานนำเสนอยอดนิยม แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ เช่น PowerPoint มักจะใช้ในรูปแบบการติดตั้งบนคอมพิวเตอร์และไม่ต้องการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการใช้งาน 

ขณะที่ Google Slides เป็นเครื่องมือออนไลน์ ที่เน้นการทำงานร่วมกันและการเข้าถึงข้อมูลจากหลายอุปกรณ์ อีกทั้ง Google Slides ยังมีฟีเจอร์การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถดูการแก้ไขของผู้อื่นและทำงานพร้อมกันได้อย่างสะดวก  และไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมลงบนคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด


สำหรับมือใหม่ที่เริ่มใช้ Google Slides, นี่คือขั้นตอนและคำสั่งพื้นฐานที่ควรเข้าใจ


เริ่มต้นใช้งาน Google Slides

Google Slides
1. เข้าถึง Google Slides
  • ไปที่ [Google Slides](https//slides.google.com) หรือเปิดผ่าน Google Drive ของคุณ โดยคลิกที่ปุ่ม "New" และเลือก "Google Slides."
2. สร้างงานนำเสนอใหม่
  • คลิกที่ "Blank" เพื่อเริ่มงานนำเสนอใหม่ หรือเลือกจากเทมเพลตที่มีให้
3. เพิ่มสไลด์
  • ใช้ปุ่ม "+" ที่มุมซ้ายล่างเพื่อเพิ่มสไลด์ใหม่ หรือคลิกที่ "Slide" ในแถบเมนูและเลือก "New Slide."
4. เพิ่มเนื้อหา
  • ใช้เครื่องมือการจัดรูปแบบเพื่อเพิ่มข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ, และองค์ประกอบอื่นๆ บนสไลด์
5. บันทึกและแชร์
  • Google Slides จะบันทึกงานของคุณโดยอัตโนมัติ แต่คุณสามารถคลิกที่ "File" และเลือก "Share" เพื่อแชร์งานนำเสนอของคุณกับคนอื่น


คำสั่งพื้นฐาน Google Slides
  • เพิ่มข้อความ
    คลิกที่กล่องข้อความเพื่อพิมพ์ข้อความ หรือใช้เครื่องมือ "Text box" ที่แถบเครื่องมือ

  • เปลี่ยนรูปแบบข้อความ
    ใช้เครื่องมือ "Font" และ "Text size" เพื่อเปลี่ยนรูปแบบข้อความ

  • เปลี่ยนธีม
    คลิกที่ "Slide" และเลือก "Change theme" เพื่อเลือกธีมที่ต้องการ

  • จัดตำแหน่งและจัดรูปแบบ
    ใช้เครื่องมือ "Align" และ "Arrange" เพื่อจัดตำแหน่งและจัดรูปแบบขององค์ประกอบ

  • เพิ่มรูปภาพและสื่อ
    คลิกที่ "Insert" และเลือก "Image" หรือ "Video" เพื่อเพิ่มรูปภาพและสื่อ

  • สร้างการเปลี่ยนสไลด์
    คลิกที่ "Slide" และเลือก "Transition" เพื่อเลือกและปรับการเปลี่ยนสไลด์

บทสรุป การจะใช้งาน Google Slides ให้มีประสิทธิภาพนั้น การทำความเข้าใจคำสั่งพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเริ่มต้นการสร้าง และจัดการงานนำเสนอ (พรีเซ็นเทชั่น) ใน Google Slides ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วมากขึ้น

ทำความรู้จัก Google Sheets

Google Sheets

อีกหนึ่งทางเลือกของการทำงานด้านคำนวณ Google Sheets คือแอปพลิเคชันสำหรับการสร้างและจัดการสเปรดชีตที่พัฒนาโดย Google ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือ Google Workspace (เดิมคือ G Suite) คุณสามารถเข้าถึง Google Sheets ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชันมือถือ

ถ้าจะให้เปรียบเทียบ Google Sheets สามารถเปรียบเทียบได้กับโปรแกรม Excel จากค่าย Microsoft


Google Sheets ใช้สำหรับ

  • จัดการข้อมูล สร้างตารางข้อมูล, บันทึกข้อมูล, และทำการวิเคราะห์ข้อมูล
  • สร้างกราฟ แสดงผลข้อมูลในรูปแบบกราฟและแผนภูมิ
  • ทำงานร่วมกัน แชร์เอกสารกับผู้อื่นและทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
  • การคำนวณ ใช้สูตรและฟังก์ชันสำหรับคำนวณข้อมูล
  • การกรองและเรียงลำดับ จัดระเบียบข้อมูลตามเงื่อนไขที่กำหนด

Google Sheets

ความเหมือนกับ Microsoft Excel

Google Sheets และ Microsoft Excel มีลักษณะและฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกันหลายประการ

  • พื้นฐานของการใช้งาน
    ทั้งสองแอปพลิเคชันใช้แนวคิดของแผ่นงานที่ประกอบด้วยแถวและคอลัมน์สำหรับจัดเก็บและจัดการข้อมูล

  • ฟังก์ชันการคำนวณ
    ทั้งสองรองรับการใช้สูตรและฟังก์ชันเช่น SUM, AVERAGE, VLOOKUP เป็นต้น

  • กราฟและแผนภูมิ
    สามารถสร้างกราฟและแผนภูมิจากข้อมูลในสเปรดชีต

  • การจัดรูปแบบ
    รองรับการจัดรูปแบบเซลล์ เช่น สีพื้นหลัง, ฟอนต์, และขนาดตัวอักษร

  • การป้องกันเซลล์
    สามารถป้องกันเซลล์หรือช่วงเซลล์เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต


ความแตกต่างหลัก

  • การทำงานร่วมกัน
    Google Sheets รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้ดีกว่า Excel โดยหลายคนสามารถแก้ไขเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน

  • การเข้าถึง
    Google Sheets สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันมือถือ โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเฉพาะ

  • การบันทึก
    Google Sheets จะบันทึกงานโดยอัตโนมัติใน Google Drive และสามารถเรียกคืนเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย

ทั้ง Google Sheets และ Microsoft Excel เป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูลและทำงานร่วมกัน แต่ Google Sheets มุ่งเน้นที่การทำงานออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ขณะที่ Excel มีฟีเจอร์ที่ซับซ้อนและการจัดการข้อมูลที่ลึกซึ้งมากขึ้นในบางกรณี


สำหรับการเริ่มต้นใช้งาน Google Sheets
เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้ นี่คือรายละเอียดเกี่ยวกับการเริ่มต้นใช้งาน

Google Sheets

1. การเข้าใช้งาน Google Sheets

  • ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ไปที่ [Google Sheets](https//sheets.google.com) หรือเข้าสู่ระบบผ่าน [Google Drive](https//drive.google.com) แล้วเลือก "Google Sheets" จากเมนู
  • ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ดาวน์โหลดแอป Google Sheets จาก Google Play Store (สำหรับ Android) หรือ App Store (สำหรับ iOS)

2. การสร้างเอกสารใหม่

  • เปิด Google Sheets เข้าไปที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Google Sheets
  • สร้างเอกสารใหม่ ให้คลิกที่ปุ่ม “+” หรือ “Blank” เพื่อสร้างสเปรดชีตใหม หรือเลือกจากเทมเพลตที่มีอยู่ถ้าคุณต้องการใช้รูปแบบที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

3. การทำความรู้จักกับส่วนต่าง ๆ ของ Google Sheets

  • แถบเครื่องมือ (Toolbar) ใช้เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น การจัดรูปแบบ, การแทรกแถวและคอลัมน์, และการสร้างกราฟ
  • แถบเมนู (Menu Bar) ประกอบด้วยเมนูที่ใช้สำหรับการจัดการเอกสาร เช่น “File”, “Edit”, “View”, “Insert”, “Format”, “Data”, และ “Tools”
  • แถบฟังก์ชัน (Function Bar) ใช้เพื่อป้อนสูตรและฟังก์ชันต่าง ๆ สำหรับการคำนวณ
  • แถบแผ่นงาน (Sheet Tabs) ใช้สำหรับการจัดการแผ่นงานหลาย ๆ แผ่นในเอกสารเดียวกัน

4. การป้อนข้อมูลและการจัดการเซลล์

  • ป้อนข้อมูล คลิกที่เซลล์ที่ต้องการป้อนข้อมูลแล้วเริ่มพิมพ์ ข้อมูลจะปรากฏในเซลล์นั้น
  • การคัดลอก, ตัด, และวาง ใช้คำสั่งจากเมนู “Edit” หรือคีย์ลัด Ctrl+C (คัดลอก), Ctrl+X (ตัด), และ Ctrl+V (วาง)
  • การแก้ไขเซลล์ คลิกสองครั้งที่เซลล์เพื่อแก้ไขข้อมูลภายในเซลล์นั้น

5. การใช้สูตรและฟังก์ชัน

  • การป้อนสูตร คลิกที่เซลล์แล้วพิมพ์สูตร เช่น `=SUM(A1A10)` เพื่อคำนวณผลรวมของช่วงเซลล์
  • การใช้ฟังก์ชัน ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น `=AVERAGE(B1B10)` สำหรับการคำนวณค่าเฉลี่ย

6. การจัดรูปแบบและการสร้างกราฟ

  • การจัดรูปแบบ ใช้แถบเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง, ขนาดตัวอักษร, และรูปแบบของข้อความ
  • การสร้างกราฟ เลือกช่วงข้อมูลที่ต้องการสร้างกราฟ, คลิกที่ “Insert” > “Chart” เพื่อสร้างกราฟ

7. การแชร์และการทำงานร่วมกัน

  • การแชร์เอกสาร คลิกที่ปุ่ม “Share” ที่มุมขวาบน, ป้อนอีเมลของผู้ที่ต้องการแชร์, และกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง (ดูเท่านั้น, แก้ไข, หรือแสดงความคิดเห็น)
  • การทำงานร่วมกัน ผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์สามารถแก้ไขเอกสารพร้อมกันและเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์

8. การจัดการเวอร์ชัน

  • การดูประวัติการเปลี่ยนแปลง ไปที่ “File” > “Version history” > “See version history” เพื่อดูและกู้คืนเวอร์ชันก่อนหน้า

บทสรุป การเริ่มต้นใช้งาน Google Sheets นั้นไม่ยากและมีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างสะดวกสบาย

ทำความรู้จัก Gogole Docs

Google Docs

Google Docs เป็นเครื่องมือสร้างและแก้ไขเอกสารออนไลน์จาก Google Workspace ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข และแชร์เอกสารได้จากทุกที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถ้าจะให้เปรียบเทียบง่ายๆ คือ Google Docs ก็เหมือนกับ Word ของค่าย Microsoft นั่นเอง

Google Docs รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ทำให้หลายคนสามารถทำงานบนเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์การบันทึกอัตโนมัติและการเข้าถึงเอกสารจากอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก

Google Docs

Google Docs แตกต่างจาก Microsoft Word ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างเอกสารแบบออฟไลน์ (ไม่รวมถึง Microsoft 365) Word เน้นการใช้งานบนคอมพิวเตอร์และมีฟีเจอร์ขั้นสูงมากมาย ขณะที่ Google Docs เน้นความสะดวกในการทำงานร่วมกันออนไลน์ และไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม 

จุดเด่นของ Google Docs คือ ความสามารถในการบันทึกข้อมูลแบบอัตโนมัติ และความสามารถในการแชร์เอกสารที่ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น (ทำงานไฟล์เดียวกันได้)


วิธีใช้งานเบื้องต้นของ Google Docs

Google Docs

1. เข้าถึง Google Docs

  • ไปที่ [Google Docs](https//docs.google.com) หรือเปิดผ่าน Google Drive ของคุณ โดยคลิกที่ปุ่ม "New" และเลือก "Google Docs."

2. สร้างเอกสารใหม่

  • คลิกที่ "Blank" เพื่อเริ่มเอกสารใหม่ หรือเลือกจากเทมเพลตที่มีให้

3. พิมพ์และแก้ไขเอกสาร

  • พิมพ์เนื้อหาลงในเอกสารและใช้เครื่องมือที่มีเพื่อจัดรูปแบบ

4. บันทึกและแชร์เอกสาร

  • Google Docs จะบันทึกงานของคุณโดยอัตโนมัติ แต่คุณสามารถคลิกที่ "File" และเลือก "Share" เพื่อแชร์เอกสารกับผู้อื่น


คำสั่งพื้นฐานที่ควรรู้จัก

  • เพิ่มข้อความ
    พิมพ์ข้อความลงในเอกสาร

  • จัดรูปแบบข้อความ
    ใช้เครื่องมือที่แถบเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนฟอนต์, ขนาด, สี, และจัดตำแหน่ง

  • เพิ่มรูปภาพ
    คลิกที่ "Insert" แล้วเลือก "Image" เพื่อเพิ่มรูปภาพจากไฟล์หรือ URL

  • สร้างหัวข้อและหัวข้อย่อย
    ใช้เครื่องมือ "Styles" ที่แถบเครื่องมือเพื่อเลือกหัวข้อและหัวข้อย่อย

  • เพิ่มลิงก์
    คลิกที่ "Insert" แล้วเลือก "Link" เพื่อเพิ่มลิงก์ไปยังเว็บไซต์หรือเอกสารอื่น

  • ตรวจสอบการสะกด
    คลิกที่ "Tools" และเลือก "Spelling and grammar" เพื่อทำการตรวจสอบการสะกดและไวยากรณ์

  • เพิ่มหมายเหตุและความคิดเห็น
    ใช้ฟีเจอร์ "Comment" เพื่อเพิ่มหมายเหตุหรือความคิดเห็นในเอกสาร


Google Docs เป็นเครื่องมือที่สะดวกและมีประสิทธิภาพสำหรับการสร้างและจัดการเอกสารออนไลน์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์และเข้าถึงเอกสารจากอุปกรณ์ใดก็ได้ 

ความสามารถในการบันทึกอัตโนมัติและการแชร์เอกสารง่ายๆ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั้งการทำงานร่วมกันในทีมและการจัดการเอกสารส่วนตัว ด้วยฟีเจอร์พื้นฐานที่ใช้ง่ายและเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ Google Docs เป็นเครื่องมือที่ควรมีไว้ในมือ