วิธีตรวจสอบว่ามือถือโดนไวรัส

Mobile Virus

ในปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือไม่ได้ใช้แค่โทรหรือแชตเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของข้อมูลส่วนตัว การเงิน และการทำงาน หากมือถือโดนไวรัสหรือมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว 

อาจส่งผลร้ายแรง เช่น ข้อมูลรั่วไหล เงินหาย หรือถูกแอบดักฟัง หลายคนเข้าใจผิดว่า “ไวรัสมีเฉพาะคอมพิวเตอร์” แต่ความจริงแล้ว สมาร์ทโฟนทั้ง Android และ iPhone ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะจากการดาวน์โหลดแอปนอก Store การกดลิงก์แปลก ๆ หรือการติดตั้งไฟล์ที่ไม่รู้ที่มา

บทความนี้จะช่วยอธิบายวิธีตรวจสอบว่ามือถือของคุณอาจโดนไวรัสหรือไม่ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม วิธีเช็กด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ และแนวทางป้องกันเพื่อให้มือถือกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย เหมาะสำหรับทุกคนแม้ไม่ใช่สายไอที

10 วิธีตรวจสอบว่ามือถือโดนไวรัสหรือไม่ (อ่านเข้าใจง่าย)

1) มือถือช้าผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้ใช้งานหนัก

ถ้ามือถือเริ่มค้าง หน่วง เปิดแอปช้า หรือเครื่องร้อนง่าย ทั้งที่ไม่ได้เล่นเกมหรือเปิดหลายแอปพร้อมกัน อาจเป็นสัญญาณว่า มีแอปหรือมัลแวร์ทำงานเบื้องหลัง และกำลังใช้ทรัพยากรเครื่องโดยไม่รู้ตัว

  • ลองรีสตาร์ทเครื่อง แล้วสังเกตอาการอีกครั้ง
  • สังเกตว่าแอปใดทำให้เครื่องหน่วงผิดปกติ
  • หากเพิ่งติดตั้งแอปใหม่ก่อนเริ่มมีปัญหา ให้สงสัยแอปนั้นเป็นพิเศษ


2) แบตเตอรี่หมดเร็วผิดปกติ

ไวรัสหรือมัลแวร์มักทำงานตลอดเวลา เช่น ส่งข้อมูล แสดงโฆษณา หรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้แบตลดเร็วกว่าปกติ

  • เข้าเมนู “การใช้งานแบตเตอรี่” แล้วดูว่าแอปใดใช้แบตสูงผิดปกติ
  • ถ้าเจอแอปที่ไม่คุ้นชื่อ แต่กินแบตมาก ให้ระวังทันที
  • ลองปิดแอปทำงานเบื้องหลัง แล้วสังเกตว่าแบตดีขึ้นหรือไม่


3) มีโฆษณาเด้งขึ้นมาตลอด (Pop-up Ads)

ถ้าเปิดมือถือแล้วมีโฆษณาเด้งขึ้นมา แม้ไม่ได้เปิดเบราว์เซอร์หรือแอปใด ๆ มักเป็นสัญญาณอันตรายที่ชัดเจน โดยเฉพาะโฆษณาเต็มหน้าจอ หรือพาไปเว็บแปลก ๆ ชวนติดตั้งแอป/อัปเดตปลอม

  • ปิดหน้าโฆษณาทันที ห้ามกดติดตั้ง/อนุญาตใด ๆ
  • ย้อนดูแอปที่เพิ่งติดตั้ง แล้วเริ่มลบจากแอปที่น่าสงสัยก่อน
  • ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอป (Permissions) ว่าขอเกินจำเป็นหรือไม่


4) มีแอปแปลก ๆ ที่ไม่ได้ติดตั้งเอง

หากพบแอปที่คุณไม่เคยติดตั้งมาก่อน หรือชื่อแอปดูแปลก ไม่มีไอคอนชัดเจน อาจเป็นแอปอันตรายที่แฝงเข้ามา

  • ไปที่ “การตั้งค่า > แอป” แล้วไล่ดูรายชื่อทั้งหมด
  • ค้นชื่อแอปใน Google ก่อนลบ หากไม่แน่ใจว่าเป็นแอประบบหรือไม่
  • หลีกเลี่ยงการลบแอประบบ หากไม่มั่นใจ


5) อินเทอร์เน็ตถูกใช้งานสูงผิดปกติ

มัลแวร์บางชนิดจะแอบส่งข้อมูลออกไปตลอด เช่น รายชื่อ เบอร์โทร หรือข้อมูลส่วนตัว ทำให้ดาต้าพุ่งโดยไม่รู้ตัว

  • เข้าเมนู “การใช้ดาต้า/การใช้งานอินเทอร์เน็ต”
  • ดูว่าแอปใดใช้เน็ตสูง ทั้งที่คุณไม่ได้เปิดใช้งาน
  • ให้ระวังเป็นพิเศษหากเป็นแอปที่ทำงานเบื้องหลัง


6) เครื่องรีสตาร์ทเอง หรือค้างบ่อย

มือถือที่รีสตาร์ทเอง เปิดไม่ติด หรือแอปเด้งบ่อย อาจไม่ได้เกิดจากเครื่องเก่าเสมอไป แต่อาจเกิดจากระบบถูกรบกวน

  • อัปเดตระบบ (OS) ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
  • ลบแอปที่เพิ่งติดตั้งก่อนเกิดปัญหา
  • หากยังไม่หาย ให้สแกนไวรัสและพิจารณารีเซ็ตเครื่อง


7) ตรวจสอบด้วยแอปสแกนไวรัส

สำหรับ Android สามารถใช้แอปสแกนไวรัสจากผู้พัฒนาที่เชื่อถือได้ ส่วน iPhone แม้ระบบจะปิดมากกว่า แต่ยังควรสังเกตพฤติกรรมผิดปกติ เช่น โฆษณาเด้ง แบตไหล หรือมีโปรไฟล์แปลก ๆ

  • ดาวน์โหลดจาก Play Store / App Store เท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงแอปสแกนไวรัสที่ขอสิทธิ์เกินจำเป็น
  • สแกนทั้งระบบ และทำตามคำแนะนำที่แอปแจ้ง


8) ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอป (Permissions)

แอปอันตรายมักขอสิทธิ์เกินจำเป็น เช่น แอปไฟฉายแต่ขอเข้าถึงรายชื่อหรือไมโครโฟน การตรวจสอบสิทธิ์ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

  • เช็กสิทธิ์: กล้อง, ไมโครโฟน, รายชื่อ, ตำแหน่ง, การเข้าถึงไฟล์
  • ถ้าไม่สมเหตุสมผล ให้ปิดสิทธิ์ หรือถอนการติดตั้งแอปนั้น


9) ตรวจสอบการติดตั้งแอปจากแหล่งภายนอก

การติดตั้งไฟล์ APK หรือแอปนอก Store เป็นความเสี่ยงสูง เพราะอาจเป็นไฟล์ปลอมที่แฝงมัลแวร์

  • ปิดการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่รู้จัก (Unknown sources)
  • ตรวจสอบแอปย้อนหลัง หากเคยติดตั้งแอปนอก Store
  • ลบแอปที่ไม่ได้ใช้งานหรือไม่มั่นใจ


10) วิธีแก้ไขหากสงสัยว่ามือถือโดนไวรัส

หากตรวจสอบแล้วพบความผิดปกติหลายข้อ แนะนำให้ทำตามลำดับต่อไปนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสแก้ปัญหาได้เร็วและปลอดภัย

  1. สำรองข้อมูลสำคัญ (รูป/รายชื่อ/ไฟล์งาน)
  2. ลบแอปที่น่าสงสัย โดยเริ่มจากแอปที่เพิ่งติดตั้งล่าสุด
  3. สแกนไวรัส ด้วยแอปที่เชื่อถือได้
  4. อัปเดตระบบ และอัปเดตแอปให้ล่าสุด
  5. หากยังไม่หาย ให้รีเซ็ตเครื่อง (Factory Reset) ซึ่งมักได้ผลที่สุด แต่ต้องสำรองข้อมูลก่อนเสมอ