ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์ การทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่การติดต่อสื่อสารผ่านแอปแชตยอดนิยม หลายคนสูญเสียเงิน ข้อมูลส่วนตัว หรือแม้แต่ตัวตนทางดิจิทัลโดยไม่รู้ตัว กลโกงเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับผู้ที่ไม่รู้เทคโนโลยีเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคน หากขาดความระมัดระวัง
บทความนี้จะพาไปรู้จักกลโกงออนไลน์ที่พบบ่อยในประเทศไทย พร้อมอธิบายรูปแบบ วิธีการ และแนวทางป้องกัน เพื่อช่วยให้ผู้อ่านรู้เท่าทันและลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน
กลโกงออนไลน์ที่พบบ่อยในประเทศไทย (ประมาณ 1,500 คำ)
1) หลอกขายสินค้าออนไลน์ (Online Shopping Scam)
เป็นกลโกงที่พบมากในประเทศไทย มิจฉาชีพมักสร้างเพจ Facebook, LINE OA หรือบัญชีในแพลตฟอร์มซื้อขาย โดยใช้ภาพสินค้าราคาถูกเกินจริง เช่น โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าแบรนด์ดัง หรืออุปกรณ์ไอที เมื่อผู้เสียหายโอนเงินแล้ว กลับไม่ได้รับสินค้า หรือได้รับของปลอม ของคุณภาพต่ำ และไม่สามารถติดต่อผู้ขายได้อีก
- จุดสังเกต: ราคาถูกผิดปกติ / ไม่มีรีวิวจริง / บังคับให้โอนก่อนเท่านั้น
- วิธีป้องกัน: ซื้อผ่านแพลตฟอร์มที่มีระบบชำระเงินกลาง ตรวจสอบรีวิวและประวัติร้านค้า
2) Phishing หลอกขอข้อมูลส่วนตัว
Phishing คือการหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรประชาชน หรือข้อมูลบัตรเครดิต มักมาในรูปแบบ SMS, อีเมล หรือข้อความ ที่อ้างว่าเป็นธนาคาร บริษัทขนส่ง หรือหน่วยงานรัฐ พร้อมแนบลิงก์ให้กดเพื่อ “ยืนยันตัวตน” หรือ “รับสิทธิ์”
- ตัวอย่าง: บัญชีมีปัญหา / พัสดุตกค้าง / รับเงินคืนหรือสิทธิพิเศษ
- วิธีป้องกัน: อย่าคลิกลิงก์แปลก ๆ ธนาคารจริงจะไม่ขอรหัสผ่านผ่านลิงก์
3) หลอกลงทุนออนไลน์
มิจฉาชีพมักอ้างผลตอบแทนสูง เช่น เทรดหุ้น คริปโต หรือ Forex พร้อมคำชวนเชื่อว่า “กำไรวันละหลายเปอร์เซ็นต์” หรือ “การันตีกำไร” บางรายใช้ภาพบุคคลมีชื่อเสียงปลอม หรือผลกำไรปลอมเพื่อสร้างความมั่นใจ
- สัญญาณอันตราย: รับประกันผลตอบแทน / ชวนเข้ากลุ่มลับ / ขอค่าสมาชิกหรือค่าเปิดพอร์ตล่วงหน้า
- วิธีป้องกัน: การลงทุนที่ปลอดภัยไม่มีคำว่าการันตี ตรวจสอบผู้ให้บริการก่อนตัดสินใจ
4) หลอกให้โอนเงินฉุกเฉิน (Call Center Scam)
มิจฉาชีพโทรมาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ หรือธนาคาร แจ้งว่าเหยื่อมีคดีพัวพันหรือบัญชีผิดปกติ แล้วกดดันให้โอนเงิน “เพื่อทำการตรวจสอบ” โดยใช้การพูดเร่งรัดให้ตื่นตระหนก
- เทคนิคที่ใช้: เร่งรัด กดดัน ใช้ข้อมูลส่วนตัวบางส่วนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- วิธีป้องกัน: วางสาย แล้วติดต่อหน่วยงานจริงด้วยเบอร์ทางการเอง
5) หลอกสมัครงานออนไลน์
มักโพสต์รับงานง่าย รายได้ดี ทำที่บ้านได้ เช่น แพ็กของ กดไลก์ คีย์ข้อมูล แล้วเรียกเก็บค่าสมัคร ค่ามัดจำ หรือค่าอุปกรณ์ก่อนเริ่มงาน จากนั้นปิดการติดต่อหนี
- จุดสังเกต: รายได้สูงเกินจริง / ไม่ต้องมีทักษะ / ขอเงินก่อนเริ่มงาน
- วิธีป้องกัน: งานจริงไม่เก็บเงินค่าสมัคร ตรวจสอบชื่อบริษัทและช่องทางติดต่อให้ชัด
6) หลอกขอรหัส OTP
มิจฉาชีพอ้างว่าต้องยืนยันตัวตน แล้วขอรหัส OTP จากเหยื่อ เพื่อนำไปทำธุรกรรม ดูดเงินจากบัญชี หรือยึดบัญชีโซเชียล
- วิธีป้องกัน: OTP เป็นความลับ ห้ามบอกใคร ธนาคารจะไม่ขอ OTP ทางโทรศัพท์หรือแชต
7) หลอกยืมเงินผ่านโซเชียล (Account Hijacking)
บัญชีเพื่อนถูกแฮก แล้วทักมายืมเงินด้วยข้อความคุ้นเคย ทำให้เหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินไป โดยไม่ยืนยันตัวตนก่อน
- วิธีป้องกัน: โทร/วิดีโอคอลยืนยันก่อนโอน ตั้งค่า Two-Factor Authentication
8) แอปปลอมและแอปดูดเงิน
มิจฉาชีพสร้างแอปปลอมเลียนแบบแอปธนาคารหรือแอปกู้เงิน เมื่อเหยื่อติดตั้ง แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก แล้วนำไปใช้ขโมยข้อมูลหรือทำธุรกรรม
- วิธีป้องกัน: ดาวน์โหลดจาก Store ทางการเท่านั้น ตรวจสอบชื่อผู้พัฒนาและรีวิว
9) หลอกให้เล่นเกม/กิจกรรมชิงรางวัล
อ้างว่าได้รับรางวัลใหญ่ แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าภาษี หรือค่าส่งก่อน สุดท้ายไม่ได้รับรางวัลจริง
- วิธีป้องกัน: อย่าโอนค่าธรรมเนียมเพื่อ “รับรางวัล” ตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ใจ
10) หลอกโรแมนซ์ (Romance Scam)
สร้างโปรไฟล์ปลอมเข้ามาตีสนิท พัฒนาความสัมพันธ์ แล้วอ้างเหตุจำเป็นเพื่อขอยืมเงิน เช่น ป่วย ถูกกักตัว มีปัญหาธุรกิจ
- วิธีป้องกัน: อย่าโอนเงินให้คนที่ไม่เคยพบตัวจริง โปรไฟล์ดีเกินจริงควรระวัง
สรุปสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น
- อย่าโอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนตัว หากยังไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างชัดเจน
- ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก และเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication ทุกบัญชีสำคัญ
- เมื่อสงสัยว่าเป็นกลโกง ให้หยุดทันที และติดต่อหน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรง


Social Plugin