กลโกงแบบ Social Engineering คืออะไร

Social Engineering

อ่านก่อน ก่อนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน กลโกงออนไลน์ไม่ได้พึ่งพาแค่ไวรัสหรือการแฮกระบบอีกต่อไป แต่หันมาใช้ “จิตวิทยา” เป็นอาวุธสำคัญ 

กลโกงในรูปแบบ Social Engineering คือหนึ่งในภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด เพราะไม่ได้โจมตีระบบคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่โจมตี “ความเชื่อใจ ความกลัว และความรีบเร่ง” ของมนุษย์ ผู้ไม่หวังดีจะใช้การหลอกล่อ พูดจาน่าเชื่อถือ หรือปลอมตัวเป็นบุคคลและองค์กรที่เราคุ้นเคย เพื่อให้เหยื่อยอมเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว 

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า Social Engineering คืออะไร มีกลโกงรูปแบบใดบ้าง ตัวอย่างที่พบบ่อยในประเทศไทย และวิธีป้องกันตนเองอย่างได้ผล เพื่อให้คุณและองค์กรรับมือภัยเงียบนี้ได้อย่างปลอดภัย


Social Engineering คืออะไร

Social Engineering คือเทคนิคการหลอกลวงที่อาศัยการชักจูงทางจิตวิทยา แทนการใช้ช่องโหว่ทางเทคนิค ผู้โจมตีจะมุ่งเป้าไปที่ “คน” ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของระบบความปลอดภัย ไม่ว่าระบบจะทันสมัยแค่ไหน หากผู้ใช้งานหลงเชื่อและให้ข้อมูลด้วยตัวเอง ระบบก็จะถูกเจาะได้ทันที

หัวใจของ Social Engineering มักเกี่ยวข้องกับ ความน่าเชื่อถือ ความเร่งด่วน และอารมณ์อย่าง ความกลัว หรือ ความโลภ เมื่อเหยื่อถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์เหล่านี้ การตัดสินใจจะขาดความรอบคอบ และเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพประสบความสำเร็จ

หลักจิตวิทยาที่มิจฉาชีพใช้

  • Authority (อำนาจ): แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ธนาคาร หรือฝ่าย IT
  • Urgency (ความเร่งด่วน): ขู่ให้รีบทำ เช่น บัญชีจะถูกระงับ
  • Fear (ความกลัว): อ้างว่ามีคดี มีความผิด หรือข้อมูลรั่ว
  • Greed (ความโลภ): หลอกด้วยรางวัล เงินคืน หรือผลตอบแทนสูง
  • Trust (ความไว้ใจ): ปลอมเป็นคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชา


รูปแบบกลโกง Social Engineering ที่พบบ่อย

1) Phishing

การส่งอีเมล ข้อความ หรือ SMS ปลอม เพื่อหลอกให้กดลิงก์และกรอกข้อมูล เช่น อีเมลแจ้งเตือนธนาคาร, แจ้งพัสดุตกค้าง, แจ้งรีเซ็ตรหัสผ่าน

2) Vishing (Voice Phishing)

การหลอกผ่านโทรศัพท์ โดยมักแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ตำรวจ หรือ Call Center ปลอม และพยายามขอข้อมูลส่วนตัวหรือรหัส OTP

3) Smishing (SMS Phishing)

ส่ง SMS พร้อมลิงก์ปลอม เช่น “คุณได้รับเงินคืน” หรือ “พัสดุตกค้าง กรุณายืนยัน” เมื่อคลิกจะถูกพาไปยังเว็บไซต์ปลอมทันที

4) Impersonation (การปลอมตัว)

แอบอ้างเป็นคนใกล้ตัว เช่น หัวหน้า ฝ่ายบัญชี หรือฝ่าย IT ของบริษัท มักพบในองค์กร เช่น อีเมลสั่งโอนเงินด่วน หรือขอรหัสผ่านระบบ

5) Pretexting

สร้างเรื่องราวสมมติให้ดูสมเหตุสมผล เช่น อ้างว่ากำลังตรวจสอบระบบ หรือมีปัญหาด้านความปลอดภัย แล้วค่อยขอข้อมูลจากเหยื่อเพิ่ม

6) Baiting

ใช้ “เหยื่อล่อ” เพื่อดึงดูด เช่น ไฟล์ฟรี โปรแกรมเถื่อน หรือ USB ที่วางไว้ในที่สาธารณะ เมื่อเปิดใช้งานอาจติดมัลแวร์ทันที

ตัวอย่าง Social Engineering ที่พบบ่อยในประเทศไทย

  • โทรศัพท์อ้างเป็นตำรวจ แจ้งว่าบัญชีพัวพันคดี
  • SMS แจ้งเงินเยียวยา/เงินคืนจากรัฐ พร้อมลิงก์ให้กด
  • แอบอ้างเป็นธนาคาร ขอรหัส OTP เพื่อ “ยืนยันตัวตน”
  • ปลอม LINE ผู้บริหาร สั่งโอนเงินด่วน
  • อีเมลปลอมจากบริษัทขนส่ง แจ้งพัสดุตกค้าง

ทำไม Social Engineering ถึงอันตรายกว่าที่คิด

  • ไม่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง ก็หลอกสำเร็จได้
  • ระบบความปลอดภัยตรวจจับได้ยาก เพราะเหยื่อทำเอง
  • ใช้ได้กับทุกคน ไม่จำกัดอายุหรืออาชีพ
  • องค์กรใหญ่ก็พลาดได้ หากพนักงานขาดความรู้

ผลกระทบที่พบบ่อย

  • สูญเสียเงิน
  • ข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
  • บัญชีถูกยึด/ถูกสวมรอย
  • ระบบองค์กรเสียหาย และเสียชื่อเสียง
  • อาจต่อยอดไปสู่การโจมตีขั้นสูง เช่น Ransomware


วิธีป้องกันกลโกง Social Engineering

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว/OTP กับใครผ่านโทรศัพท์หรือแชต
  • ไม่กดลิงก์จากข้อความที่น่าสงสัย โดยเฉพาะลิงก์สั้น
  • ตรวจสอบชื่อบัญชี/โดเมน/หมายเลขโทรศัพท์ให้ชัดเจนก่อนทำรายการ
  • ถ้าโดนเร่ง-โดนขู่ ให้หยุดก่อน แล้วโทรกลับ “เบอร์ทางการ” ด้วยตัวเอง
  • เปิดใช้งาน 2FA และใช้รหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกัน

สำหรับองค์กร

  • อบรมพนักงานเรื่อง Phishing และ Social Engineering เป็นประจำ
  • กำหนดขั้นตอน “ยืนยันตัวตนหลายชั้น” สำหรับการโอนเงิน/เปลี่ยนบัญชีรับเงิน
  • ใช้แนวคิด Zero Trust และหลัก Least Privilege
  • ทำ Phishing Simulation เพื่อทดสอบและเพิ่มภูมิคุ้มกัน
  • มีช่องทางรายงานเหตุผิดปกติที่รวดเร็ว (เช่น IT Helpdesk / SOC)
เทคโนโลยีป้องกันได้แค่ระบบ แต่ “ความรู้และสติ” ช่วยป้องกันได้ทั้งคนและองค์กร