อัพเดท ! เทคโนโลยีในรถยนต์

2 Cars drive in the expressway

เทคโนโลยีในรถยนต์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ในบทนำนี้จะกล่าวถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในรถยนต์ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีการเดินทางของเรา ตั้งแต่ระบบนำทางที่ชาญฉลาดไปจนถึงระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย 

ข้อสังเกต รถยนต์สมัยใหม่มีการเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลและสามารถให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการใช้พลังงานทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มเติมกันเถอะ


รายละเอียดเทคโนโลยีในรถยนต์

1. ระบบนำทาง Global Positioning System

  • เรียกย่อๆ ว่า GPS
  • ให้ข้อมูลแผนที่และทิศทางเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำ และสามารถควบคุมเวลาได้ดีมากขึ้น


2. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)

  • เรียกย่อๆว่า ACC
  • ทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ เรดาห์ หรือ ระบบการตรวจจับสัญญาณ
  • เป็นระบบปรับความเร็วของรถยนต์ตามความเร็วของรถคันหน้า ช่วยลดความเครียดในการขับขี่ระยะไกล ทำให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่


3. ระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking)

  • ตรวจจับสิ่งกีดขวางข้างหน้าและเบรกอัตโนมัติหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เป็นเทคโนโลยีที่เน้นเรื่องความปลอดภัยอย่างแท้จริง


4. ระบบตรวจจับจุดบอด (Blind Spot Detection)

  • เรียกย่อๆว่า BSD
  • ใช้เทคโนโลยี การปล่อยคลืน Microwave ความถี่ 24 GHz ซึ่งติดตั้งด้านในกันชนซ้ายและขวา
  • ใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับรถหรือสิ่งของในจุดบอดของผู้ขับขี่และแจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นเทคโนโลยีเพื่อคนรักรถโดยเฉพาะ


5. ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (Automatic Parking Assistance)

  • ช่วยผู้ขับขี่ในการจอดรถโดยใช้เซ็นเซอร์และกล้องเพื่อวิเคราะห์พื้นที่จอดรถและทำการจอดรถให้โดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดความปลอดภัยของรถยนต์ 
  • รองรับการจอดรถแบบขนาด และการถอยหลังเข้าซอง
  • ระบบจะทำหน้าที่ควบคุมพวงมาลัย ส่วนผู้ขับทำหน้าที่แค่ เดินหน้า หรือถอยหลัง


6. ระบบควบคุมการเปลี่ยนเลน (Lane Keeping Assist)

  • เรียกย่อๆว่า LKA 
  • ระบบช่วยผู้ขับขี่รักษารถให้อยู่ในเลนโดยการส่งสัญญาณเตือนหรือปรับพวงมาลัยอัตโนมัติหากรถเริ่มออกนอกเลน เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยลดอุบัติเหตุได้จริง
  • LKA ทำงานด้วยกล้องหน้ารถ และระบบเซ็นเซอร์ด้านหน้า โดยปกติระบบจะเตือนด้วยการสั่นที่พวงมาลัยของรถ แต่จะทำงานเมื่อความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไป


7. ระบบอินโฟเทนเมนต์ (Infotainment System)

  • เทคโนโลยีที่รวมการสื่อสาร การบันเทิง และการเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เช่น การนำทาง, เล่นเพลง, การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รับสายโทรศัพท์และโทรออก รวมทั้งการสั่งงานด้วยเสียง 
  • Infotainment เป็นได้ทั้ง Software และ Hardware


8. ระบบตรวจจับการชน (Collision Detection System)

  • ใช้เซ็นเซอร์และกล้องในการตรวจจับการชนที่อาจเกิดขึ้นและเตือนผู้ขับขี่หรือลดความเร็วอัตโนมัติ


9. เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving Technology)

  • เรียกอีกอย่างว่า Self-Driving Car
  • ระบบการขับขี่แบบไร้คนขับ
  • ใช้ระบบเซ็นเซอร์, กล้อง และ AI ในการขับขี่โดยไม่ต้องการการควบคุมจากผู้ขับขี่


10. ระบบไฟ LED และไฟหน้าอัตโนมัติ (LED Lighting and Automatic Headlights)

  • ให้ความสว่างที่ดีกว่าและปรับระดับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และสภาพอากาศ


11. ระบบการตรวจจับการนอนหลับ (Driver Drowsiness Detection)

  • ตรวจจับสัญญานบ่งบอกอาการง่วงนอนจากลักษณะดวงตา
  • ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ที่แสดงถึงความเหนื่อยล้าและเตือนผู้ขับขี่ให้หยุดพัก


12. เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างรถยนต์ (Vehicle-to-Vehicle Communication)

  • เรียกย่อๆ ว่า V2V
  • เรียกอีกอย่างว่า Car-to-car communication
  • อนุญาตให้รถยนต์สื่อสารกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการจราจรและสภาพถนน


รถยนต์ส่วนใหญ่ อาจไม่ได้มีเทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น แต่เราสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการของเราได้ ทั้งนี้ เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและตรงกับความต้องการของเราอีกด้วย

บทสรุป การรวมเทคโนโลยีเหล่านี้ในรถยนต์สมัยใหม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น