1) ลบไฟล์ขยะที่สะสมมานาน
อย่างแรกที่ช่วยให้ Windows เบาขึ้นได้เลย คือการลบไฟล์ขยะที่สะสมอยู่ในเครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่เคยเปิดดูด้วยซ้ำ ไฟล์เหล่านี้มาจากการติดตั้งโปรแกรม การอัปเดต หรือไฟล์ชั่วคราวต่าง ๆ ที่ระบบสร้างขึ้นเอง วิธีเริ่มต้นแบบง่าย ๆ คือ:
- เข้าโฟลเดอร์ ดาวน์โหลด (Downloads) แล้วลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น เช่น ไฟล์ติดตั้งเก่า ๆ
- ลบไฟล์ในโฟลเดอร์เอกสาร รูป และวิดีโอที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
- เทถังขยะ (Recycle Bin) เป็นประจำ ไม่ปล่อยทิ้งจนเต็ม
แค่ลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ เครื่องก็จะมีพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้น ช่วยให้ Windows ทำงานได้คล่องขึ้น ไม่อืดเหมือนตอนที่ไดรฟ์ใกล้เต็ม
2) ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แล้วออกจากเครื่อง
หลายคนติดตั้งโปรแกรมเอาไว้เต็มเครื่อง ทั้งโปรแกรมทดลองใช้ โปรแกรมที่เคยลองแล้วไม่ชอบ หรือโปรแกรมที่ติดมากับเครื่องตั้งแต่วันแรก แต่ไม่เคยเปิดเลย สิ่งเหล่านี้กินพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ และบางตัวอาจแอบทำงานเบื้องหลังด้วย วิธีจัดการคือ:
- เปิดรายการโปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ในเครื่อง
- ดูชื่อโปรแกรมที่ไม่รู้จักหรือไม่ได้ใช้มานาน
- ถอนการติดตั้งออกจากเครื่อง โดยโฟกัสที่โปรแกรมที่ไม่จำเป็น
พอเหลือเฉพาะโปรแกรมที่จำเป็นจริง ๆ คอมจะทำงานเบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องพื้นที่และการโหลดของระบบ สามารถเข้าไปตรวจสอบว่า มีโปรแกรมติดตั้งในเครื่องของเราบ้าง ให้พิมพ์ที่ช่อง "Search" ของ Windows พิมพ์คำว่า "Control Panel" จากนั้นคลิกเลือกหัวข้อ "Programs and Features"
3) ปิดโปรแกรมที่เปิดเองอัตโนมัติเมื่อเปิดคอม
เวลาเปิดคอมแล้วรู้สึกว่ากว่าจะพร้อมใช้งานต้องรอนาน ส่วนหนึ่งเพราะมีโปรแกรมเปิดเองอัตโนมัติตั้งแต่เริ่ม เช่น โปรแกรมแชต โปรแกรมดาวน์โหลด หรือโปรแกรมที่เคยตั้งค่าไว้ไม่รู้ตัว วิธีช่วยคือ:
- ดูรายชื่อโปรแกรมที่ถูกตั้งให้เปิดเองเวลาสตาร์ทเครื่อง
- ปิดตัวที่ไม่จำเป็นออก เช่น โปรแกรมที่ใช้แค่บางครั้ง
- เหลือไว้เฉพาะตัวสำคัญ เช่น โปรแกรมแอนตี้ไวรัส
แค่นี้ตอนเปิดคอม เครื่องจะพร้อมใช้งานเร็วขึ้น ไม่ต้องนั่งรอให้โปรแกรมต่าง ๆ โหลดจนจบก่อน สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่หัวข้อ "Apps ->Startup" พิมพ์ค้นหาได้ที่ช่อง "Search" และพิมพ์คำว่า "Startup" (ทดสอบจาก Windows 11)
4) อัปเดต Windows และไดรเวอร์ให้ทันสมัย
หลายคนกลัวการอัปเดตเพราะคิดว่า “อัปเดตแล้วจะช้า” แต่ความจริงแล้วหลายครั้งการอัปเดตช่วยแก้บั๊ก ปรับปรุงความเร็ว และทำให้ระบบทำงานได้เสถียรมากขึ้น สิ่งที่ควรอัปเดตคือ:
- ตัวระบบ Windows ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่รองรับ
- ไดรเวอร์อุปกรณ์หลัก ๆ เช่น การ์ดจอ การ์ดเสียง และอุปกรณ์เชื่อมต่อ
เมื่อระบบและไดรเวอร์ทำงานเข้ากันดี ความหน่วงแปลก ๆ หรืออาการค้างก็จะลดลง ทำให้ Windows ทำงานได้ลื่นขึ้น อยากทราบว่า Windows ของเราอัปเดทหรือยัง ให้พิมพ์ค้นหาได้ในช่อง "Search" พิมพ์คำว่า "Windows Update" ได้เลย
5) ปิดเอฟเฟกต์ภาพที่ไม่จำเป็น
Windows มีลูกเล่นภาพสวย ๆ หลายอย่าง เช่น การเฟดหน้าต่าง การเงา เมนูเลื่อนนุ่ม ๆ ซึ่งเหมาะกับเครื่องแรง ๆ แต่ถ้าสเปกไม่สูงมาก ฟีเจอร์พวกนี้จะกลายเป็นตัวถ่วงความเร็วแทน แนวคิดง่าย ๆ คือ “เน้นลื่นมากกว่าสวย” เช่น:
- ลดหรือปิดเอฟเฟกต์แอนิเมชันของหน้าต่าง
- ปิดความโปร่งแสงของแถบเมนู
- เลือกให้แสดงแบบเรียบง่ายมากกว่าลูกเล่นเยอะ ๆ
หลังจากปิดเอฟเฟกต์ส่วนเกินไปแล้ว จะรู้สึกได้เลยว่าการเปิด–ปิดหน้าต่าง การสลับโปรแกรม ทำได้เร็วขึ้นทันที
6) เคลียร์พื้นที่ไดรฟ์ C ไม่ให้เต็มจนเกินไป
ไดรฟ์ C คือที่อยู่ของ Windows ถ้าไดรฟ์นี้ใกล้เต็ม เครื่องจะช้ามาก เพราะระบบไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับทำงาน วิธีช่วยให้โล่งขึ้นคือ:
- ย้ายรูป วิดีโอ หรือไฟล์ใหญ่ ๆ ไปเก็บในไดรฟ์อื่นหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอก
- ลบโปรแกรมที่ติดตั้งในไดรฟ์ C ที่ไม่จำเป็น
- ล้างไฟล์ชั่วคราวและไฟล์อัปเดตเก่า ๆ เป็นครั้งคราว
ถ้าพื้นที่ไดรฟ์ C เหลืออย่างน้อย 20–30% ระบบมักจะทำงานได้ลื่นกว่าแบบที่พื้นที่ใกล้เต็มตลอดเวลา
7) ปิดโปรแกรมที่ทำงานเบื้องหลังมากเกินไป
นอกจากโปรแกรมที่เราเปิดเอง ยังมีโปรแกรมจำนวนหนึ่งที่แอบทำงานอยู่เบื้องหลัง เช่น แอปแชต โปรแกรมซิงค์ไฟล์ หรือโปรแกรมเสริมต่าง ๆ ที่วิ่งอยู่ตลอดเวลา วิธีดูแลคือ:
- ตรวจรายการโปรแกรมที่กำลังทำงานในขณะนั้น
- ปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ยังเปิดค้างอยู่
- ระวังอย่าปิดโปรแกรมของระบบหรือแอนตี้ไวรัส
ลดจำนวนโปรแกรมที่แอบใช้ทรัพยากรเครื่อง จะช่วยให้ Windows เหลือแรงไปใช้กับสิ่งที่เราทำจริง ๆ มากขึ้น
8) ตรวจสอบไวรัสและมัลแวร์
ถ้าเครื่องช้าแบบผิดปกติ เปิดเว็บแล้วเด้งไปหน้าแปลก ๆ หรือมีโฆษณาโผล่ขึ้นมาเอง อาจมีไวรัสหรือมัลแวร์อยู่ในเครื่อง ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้ช้า แต่ยังเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนตัวด้วย วิธีจัดการคือ:
- สแกนไวรัสทั้งเครื่องด้วยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่เชื่อถือได้
- ลบไฟล์หรือโปรแกรมที่ระบบแจ้งว่าเป็นภัยคุกคาม
- หลีกเลี่ยงการติดตั้งโปรแกรมฟรีจากเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ
เมื่อเครื่องสะอาดจากไวรัสและมัลแวร์ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ไวขึ้น แต่ยังปลอดภัยขึ้นด้วย
9) ปิดการแจ้งเตือนที่เกินความจำเป็น
การแจ้งเตือนจากหลายโปรแกรม เช่น แอปแชต แอปข่าว หรือเกมต่าง ๆ ทำให้เครื่องต้องคอยทำงานเบื้องหลังอยู่เรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่บางอย่างเราไม่ได้สนใจ วิธีลดภาระให้เครื่องคือ:
- ปิดการแจ้งเตือนจากแอปที่ไม่จำเป็น
- เหลือเฉพาะการแจ้งเตือนงานสำคัญ เช่น อีเมล หรือคอลทำงาน
นอกจากช่วยให้คอมทำงานเบาลง ยังช่วยให้สมาธิไม่ถูกรบกวนจากการแจ้งเตือนยิบย่อยทั้งวันด้วย
10) ทำความสะอาดระบบแบบลึก ๆ เป็นครั้งคราว
ต่อให้ลบไฟล์ขยะทั่วไปแล้ว ก็ยังมีไฟล์บางส่วนที่ซ่อนอยู่ในระบบ ซึ่งเกิดจากการติดตั้งและลบโปรแกรมมาหลายรอบ ทำให้ระบบเริ่มรก วิธีแก้คือใช้เครื่องมือช่วยจัดระเบียบ เช่น:
- ล้างไฟล์ชั่วคราวที่ซ่อนอยู่ตามโฟลเดอร์ระบบ
- ลบไฟล์เก่าของโปรแกรมที่ถูกถอนการติดตั้งไปแล้ว
- จัดระเบียบไฟล์ให้ระบบอ่านข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน แค่เดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้งก็พอ ช่วยให้เครื่องไม่กลับไปอืดเร็วเกินไป
11) ปิดฟีเจอร์ซิงค์บางอย่างที่ไม่ได้ใช้
Windows มีฟีเจอร์ซิงค์หลายอย่าง เช่น ซิงค์ธีม รหัสผ่าน หรือการตั้งค่าบางส่วนกับบัญชีออนไลน์ ถ้าไม่ได้ใช้จริง ฟีเจอร์เหล่านี้ก็แค่เพิ่มงานให้เครื่องลองปิดบางส่วนดู:
- ปิดการซิงค์ที่เราไม่เคยใช้หรือไม่จำเป็น
- ปิดบริการรายงานข้อมูลบางอย่างที่ไม่ได้มีผลกับการใช้งาน
ระบบจะเหลือภาระงานน้อยลง ทำให้โฟกัสกับการใช้งานหลัก ๆ ได้ดีขึ้น
12) ตรวจสอบสุขภาพฮาร์ดดิสก์
ถ้าฮาร์ดดิสก์เริ่มเสื่อม จะมีสัญญาณบางอย่างให้เห็น เช่น เปิดไฟล์ช้าผิดปกติ ค้างเวลาย้ายไฟล์ หรือมีเสียงดังแปลก ๆ ถ้าเจออาการเหล่านี้บ่อย ๆ ควร:
- สำรองข้อมูลสำคัญเก็บไว้ก่อน
- ตรวจสุขภาพดิสก์ด้วยโปรแกรมเช็กสถานะฮาร์ดดิสก์
- เตรียมเปลี่ยนดิสก์ใหม่หากมีสัญญาณเตือนหนัก ๆ
ฮาร์ดดิสก์ที่สภาพไม่ดีไม่เพียงทำให้เครื่องช้า แต่ยังเสี่ยงทำให้ข้อมูลหายด้วย
13) เปลี่ยนจาก HDD เป็น SSD หากยังไม่ได้เปลี่ยน
ถ้ายังใช้ฮาร์ดดิสก์แบบเก่า (HDD) การอัปเกรดเป็น SSD คือวิธีเร่งความเร็วที่เห็นผลที่สุด หลายคนบอกตรงกันว่ารู้สึกเหมือนได้คอมใหม่ โดยเฉพาะ:
- เปิดเครื่องไวขึ้นจากระดับนาทีเหลือไม่กี่วินาที
- เปิดโปรแกรมและไฟล์ต่าง ๆ ได้เร็วขึ้นมาก
- ระบบทำงานลื่นขึ้นในทุก ๆ อย่าง
ถ้างบจำกัด แต่ต้องเลือกอัปเกรดอย่างเดียว การเปลี่ยนเป็น SSD ถือว่าคุ้มที่สุด
14) เพิ่ม RAM ถ้าเปิดหลายโปรแกรมพร้อมกัน
ถ้าใช้งานเปิดหลายหน้าจอพร้อมกัน เช่น เปิดเบราว์เซอร์หลายแท็บ ทำงานเอกสาร ดูวิดีโอ หรือใช้โปรแกรมแต่งภาพ โปรแกรมทำงาน จะใช้ RAM เยอะ ถ้า RAM น้อยเกินไป เครื่องจะชัดเจนว่าช้าและค้างง่าย การเพิ่ม RAM จะช่วย:
- สลับโปรแกรมได้ลื่นขึ้น
- ลดอาการค้างเมื่อเปิดหลายอย่างพร้อมกัน
- ทำให้ใช้โปรแกรมหนัก ๆ ได้สะดวกขึ้น
สำหรับการใช้งานทั่วไป RAM ประมาณ 8GB ขึ้นไปถือว่าโอเค แต่ถ้าทำงานหนัก อาจต้องมากกว่านั้น
15) รีเซ็ต Windows เมื่อลองทุกอย่างแล้วยังช้า
ถ้าปรับมาเกือบทุกวิธีแล้วเครื่องยังรู้สึกอืด อาจเพราะระบบภายในสะสมปัญหามานาน วิธีสุดท้ายที่ช่วยได้ดีคือ การรีเซ็ต Windows แบบเก็บไฟล์ส่วนตัวไว้:
- เลือกตัวเลือกที่ให้เก็บไฟล์เอกสาร รูป และงานต่าง ๆ
- ปล่อยให้ระบบล้างตัวโปรแกรมและการตั้งค่าที่เคยติดตั้งไว้
- หลังรีเซ็ตเสร็จ จะได้ระบบที่สะอาดขึ้น คล้ายตอนเพิ่งลง Windows ใหม่
วิธีนี้เหมาะเมื่อระบบเริ่มรวน แก้เท่าไรก็ไม่ดีขึ้น และใช้มาหลายปีไม่เคยล้างใหม่เลย
16) ดูแลเครื่องเป็นประจำให้ลื่นได้นาน ๆ
การเร่งความเร็ว Windows ไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ถ้าดูแลสม่ำเสมอ เครื่องก็จะลื่นได้นานขึ้น สามารถใช้แนวทางง่าย ๆ เช่น:
- ลบไฟล์ขยะและเทถังขยะทุกสัปดาห์
- ตรวจโปรแกรมที่เปิดเองและปิดตัวที่ไม่จำเป็น
- อัปเดต Windows และสแกนไวรัสเดือนละครั้ง
แค่ไม่ปล่อยให้เครื่องรกจนเกินไป คอมก็พร้อมใช้งานได้ดีไปอีกหลายปี ไม่ต้องรีบเปลี่ยนเครื่องใหม่


Social Plugin